“ถ่ายรูปที่ไหน ที่นั่นเป็นของเรา?” หากยึดตรรกะนี้ ไทยก็อาจมีสิทธิ์ “ทวงคืนปราสาทบายน” ได้เช่นกัน
จากกระแสถกเถียงในสังคมที่มีผู้กล่าวถึงแนวคิด “ถ่ายรูปที่ไหน ที่นั่นเป็นของเรา” อันเป็นตรรกะประชดประชันที่เกิดขึ้นจากข้อขัดแย้งด้านประวัติศาสตร์และอธิปไตยในภูมิภาค การตั้งข้อสังเกตเชิงเปรียบเปรยว่า “หากใช้ตรรกะนี้ ไทยก็ควรมีสิทธิ์อ้างกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทบายนได้เช่นกัน” จึงเป็นคำกล่าวที่ควรพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลสำคัญยิ่งในด้านประวัติศาสตร์และการปกครองยุคใหม่ของไทย — ได้เสด็จไปยังนครธม (Angkor Thom) และได้บันทึกภาพถ่าย ณ ปราสาทบายน (Bayon Temple) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองพระนคร หรือ “นครหลวงของอาณาจักรขอมโบราณ”
ภาพถ่ายและบันทึกเหล่านี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการรับรู้และการเข้าถึงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในช่วงเวลาที่เส้นแบ่งเขตแดนสมัยใหม่ยังอยู่ระหว่างการจัดวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ฝรั่งเศสเริ่มขยายอิทธิพลเข้าสู่อาณานิคมอินโดจีนและมีบทบาทในการกำหนดอาณาเขตระหว่างสยามและกัมพูชา
ประเด็นทางการเมืองและการตีความสมัยใหม่
การนำแนวคิด “ถ่ายภาพ ณ สถานที่ใด สถานที่นั้นเป็นของผู้ถ่าย” มาใช้เป็นตรรกะในการอ้างกรรมสิทธิ์ ย่อมไม่สอดคล้องกับหลักการทางกฎหมายระหว่างประเทศ หรือหลักความเป็นเจ้าของเชิงนิติศาสตร์แต่อย่างใด ทว่าการยกตัวอย่างกรณีของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพนี้ ชี้ให้เห็นว่า ไทยเองก็มีร่องรอยความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการเดินทางเยือนในแหล่งมรดกของกัมพูชาไม่น้อยไปกว่ากัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากจะขยายแนวคิดดังกล่าวต่อไป ก็อาจนำไปสู่ข้อถกเถียงที่ไร้จุดสิ้นสุด เช่น “การที่นักท่องเที่ยวหลายชาติถ่ายภาพ ณ พระบรมมหาราชวังหรือวัดพระแก้ว ย่อมไม่อาจเป็นเหตุผลในการอ้างสิทธิ์ทางดินแดนได้อย่างแท้จริง” ดังนั้น ตรรกะเช่นนี้จึงควรถูกพิจารณาในฐานะการเปรียบเปรยเชิงล้อเลียน มากกว่าข้อเรียกร้องเชิงนิติรัฐ
สรุป
ปราสาทบายนในนครธม เป็นมรดกของมนุษยชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก และเป็นศูนย์รวมของอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของชาวกัมพูชา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมร่วมที่คนไทยในอดีตเคยมีบทบาทในการศึกษา สำรวจ และบันทึกไว้เช่นกัน
การเข้าใจอดีตร่วมกันโดยไม่ใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือทางการเมือง คือแนวทางสันติวิธีที่จะนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศในอนาคต มากกว่าการใช้หลักฐานเชิงสัญลักษณ์มาทำให้เกิดความแตกแยก





