แบกกล้องรอบมกุฏพันธะเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงสรีระ
สถานที่สุดท้ายในการวางพระสรีระ ก่อนที่จะเกลวไฟจะแผดเผา
กายที่นิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้และท่อนฟืน
กองยิ่งใหญ่มโหฬารที่มองเห็น อดีตเป็นแหล่งรวมแห่งความเศร้า
พระสงฆ์มากมายมารวมเฝ้า ส่งพระพุทธเจ้าสู่เปลวไฟ
การเดินทางในครั้งนี้ การมาถึงที่นี่แน่นอนเมื่อเรานั้นเขียนสารคดีถึงเรื่องราวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า สถานที่สำคัญที่เรานั้นจะต้องมาเดินดูและเก็บภาพคือสถานที่ในการถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ปรินิพพาน หากเดินมานั้นน่าจะประมาณ 500 เมตรได้ สถานแห่งความเศร้าอาลัย เมื่อ 2500 ปีสถานที่เหล่านี้นั้นมีแต่หยดน้ำตา
มีคนบอกว่าพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมนั้นจะไม่หลั่งน้ำตา แต่ในบริเวณใกล้ๆ เราจะเห็นสถานที่ที่พระอานนท์หลบมาร้องไห้ที่บริเวณใต้ร่มไม้ หากว่าเรานั้นเดินรอบบริเวณนั้นจะเห็น เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นเสมือนชีวิตเดียวกันกับพระอานนท์คำสอนทุกอย่างพระอานนท์จะเป็นคนที่อยู่กับพระพุทธเจ้าตลอดเวลา แม้แต่ในตอนที่พระพุทธเจ้านั้นจะถึงกาลปรินิพพาน พระพุทธเจ้าก็บอกให้กับพระอานนท์เป็นคนแรก
ตอนที่พระอานนท์นั้นเดินไปตักน้ำในแม่น้ำ เพื่อที่จะนำมาให้พระพุทธเจ้า แต่มองดูในน้ำนั้นแล้วน้ำขุ่นจึงไม่สามารถที่จะตักน้ำมาให้ได้ตอนนั้นพระอานนท์ทรงโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุ แต่ก่อนที่จะปรินิพพานนั้นพระพุทธเจ้าได้บอกทุกอย่างกับพระอานนท์เพียงคนเดียว หากเทียบคือพระอานนท์เป็นเหมือนลูกที่วันหนึ่งพ่อจะจากโลกนี้ไป ก็ยากที่จะทำใจได้
เราเดินมานั่งลงบริเวณโดยรอบ ด้านนอก สามารถที่จะเดินได้ หากว่าเข้าไปด้านในนั้นจะมีเหล่าพระสงฆ์ทำพิธีสวดมนต์อยู่ สถานที่นี้หากว่าเรานั้นจะเดินทางไปจะต้องไปในเวลาเช้า เพราะว่าหากไปยามสายแดดจะร้อนหน่อย หรืออาจจะเข้าไปประมาณบ่ายสาม ในเวลห้าโมงเย็นสถานที่นี้จะไม่สามารถเข้าได้
ในการเดินไม่ต้องถือของเยอะ เพราะว่าเราจะไม่มีที่สำหรับเก็บ สถานที่นี้เป็นลานหญ้ากว้าง อาจจะเห็นชาวไทยไปนั่งตามร่มไม้แล้วมองไปยังสถานที่ถวายพระเพลิง ด้วยสายตาที่เศร้าโศกเสียใจ
หากเราเดินเข้าไปใกล้ รอบสถานที่มกุฏพันธเจดีย์นี้จะมีอิฐ หรือศิลาแลงโดยรอบ ที่ก่อขึ้นสูงขนาดใหญ่ ในการสร้างนี้น่าจะใช้เวลาประมาณ 6 วัน เพื่อที่จะทำการถวายพระเพลิง แต่หากว่ามีการถวายพระเพลิงหลังจากที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว 7 วัน หากว่าเราเดินประทักษิณนั้นจะร้อนในเวลานี้
เย็นๆ เราจะไปนั่งสมาธิและสวดมนต์เพื่อบูชามกุฏพันธะเจดีย์แห่งนี้
บริเวณนี้น่าจะเป็นสถานที่ในการที่มีการวางดอกไม้ก่อนที่จะถวายพระเพลิง มีการวางดอกไม้ดาวเรือง เทียนและจุดธูปในบริเวณนี้ และคนที่มากราบไหว้ที่นี่จะนำธูปมาปักนำเทียนมาวาง แต่ก่อนนั้นจะมีการปิดทองแต่หลังจากที่มีจำนวนคนมากขึ้นจึงทำให้ไม่อนุญาตในการปิดทอง เพราะว่าทำให้ดูแล้วไม่สวยงาม เราสามารถที่จะสัมผัสและกราบตรงมกุฏพันธะเจดีย์ได้เลย
มุมไกล ด้วยความกว้างของสถานที่จึงรองรับคนได้จำนวนมาก หากว่าต้องการที่จะปฏิบัติเป็นพุทธบูชาสามารถที่จะเลือกที่บริเวณโดยรอบได้เลย แต่เราไม่สามารถที่จะปีนขึ้นไปด้านบนของกองอิฐได้ เราเดินเข้าไปมองไปจากที่นี่เหมือนว่าเรานั้นมายืนดูกองสรีระของพระพุทธเจ้า หากว่าเราจะเดินทางไปสถานที่ไหนยเราจะต้องอ่านประวัติก่อนเราจะได้จินตนาการว่า หลังจากที่ปรินิพพานแล้วเก็บพระสรีระไว้อีกที่หนึ่งแล้วนำมาถวายพระเพลิงอีกที่
การสิ้นของพระพุทธเจ้าในสมัยนั้นเป็นเหมือนการสิ้นในศาสนาไปเช่นกัน เมื่อศาสดาปรินิพพานทำให้ศาสนาอื่นเข้ามามีอิทธิพล ทำให้พระพุทธศาสนาเลือนหายไปจากประเทศอินเดีย การนับถือศาสนาในประเทศอินเดียนั้นมีความหลากหลายแม้ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญของศาสนาพุทธ ยังมีศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาอื่นปะปนอยู่ในหลายๆ เมือง
หลังจากที่เดินรอบแล้ว ก็พร้อมสำหรับการนำดวงวิญญาณของคนที่รักชวนไปด้วย จะนำไปกราบไว้ที่อินเดีย แต่ว่าไม่รู้มาด้วยไหม เรียกชื่อนามสกุลและจุดธูปเรียก ยายนั้นชอบและรักในการทำบุญครั้งนี้ชวนมาด้วย เพื่อมาสักการะที่นี่ เดินเลาะหามุมจะให้อยู่ตรงไหน
ใช้เวลาในการเดินหามุมในการถ่ายภาพที่นี่ประมาณสองชั่วโมง มุมนั้นมุมนี้เพื่อนำไปเลือก ในวันงานจริงที่มีการแห่ขบวน ย้อนไปเมื่อสองพันห้าร้อยปีมาที่นี่ ทำเหมือนเมื่อครั้งปรินิพพาน เราจะเก็บภาพตรงไหน
หากว่าเรานับจำนวนในการปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีจำนวนระยะเวลานาน ในเดือนมาฆบูชาจะมีการระลึกถึง แม้ว่าเรานั้นจะมีการเดินทางเพื่อที่จะตามรอยพระพุทธเจ้ามาแล้วสองครั้งแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เดินไปในทุกมุมของสถานที่ปรินิพพาน แต่ก่อนมาเดินไม่นานหมดเวลาแล้วก็เดินทางกลับ มีความรู้สึกสุขใจที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง














