การเดินทางสู่ Kusinagar, Kushinagar, Kasia - कुशीनगर, उत्तर प्रदेश
การเดินทางที่แสนพิเศษ เริ่มจากการขึ้นเครื่องตอนตีหนึ่ง หากเราเดินทางจนไปถึง
ค่าเครื่องนั้นสุดทึ่งแพงแสนแพง
การเดินทางแสนพิเศษนี้เกิดขึ้นเมื่อเรานั้นได้รับหน้าที่ให้ไปเขียนสารคดีงาน 2500 ปีในการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ที่เมืองกุฉินารา ครั้งนี้เดินทางกันไปทั้งหมด 5 คน แต่เป็นการไปอยู่อินเดียประมาณหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับการจัดกระเป๋า
เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปอยู่อินเดียในช่วงของฤดูหนาว แต่ก่อนนั้นไปในช่วงของฤดูร้อนที่ร้อนมาก แต่ครั้งนี้ฤดูหนาว อากาศในตอนเช้าจะประมาณ 8 องศา ตอนกลางคืนเช้ามืดนี่หนาวจับใจ จนในห้องต้องมีฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น เราจะต้องขึ้นเครื่องจากสุวรรณภูมิเวลาประมาณสี่ทุ่ม ในการเดินทางประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมงเราจะไปถึงประมาณเวลาตีสาม ซึ่งจะมีบาบูมารอรับ แล้วเราจะนั่งรถของบาบูไปยังเมื่องกุสินารา อีกครั้งหนึ่งใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง ระยะทางนั้นไม่ได้ไกลแต่การขับรถนั้นจำกัดในเรื่องของความเร็ว ขับช้ามากต้องทำใจ เขาไม่รีบ เพราะว่าเส้นทางที่เราเดินทางนั้นไม่เห็นทางหมอกกินหมด ต้องขับช้าถึงช้ามาก
ไปแบบนี้นั้นอย่าลืมนำขนมของชอบของเราไปด้วยนะหากว่าที่นั่นจะไม่มีเราจะได้ทานอาหารที่นั่น แต่ไอศกรีมนมควายอร่อยที่สุดต้องลองดูหากว่าเรานั้นมีโอกาสได้ไปแล้วจะหลงรัก ไอศกรีมนมควาย
บนเครื่องบิน พอเราขึ้นเครื่องบินต้องมีเวลาสักหน่อยในการเขียนเพื่อที่เมื่อเราถึงอินเดียแล้วเราจะสามารถที่จะเข้าประเทศได้เลย ไม่ต้องไปรอเขียนอีก การเข้าประเทศอินเดียนั้นจะว่ายากก็ยาก บางคนก็ง่าย แต่หากว่าพาสปอตของเรานั้นไม่เคยมีการประทับนั่นหมายความว่า พาสปอตใหม่จะถูกเช็คละเอียดหน่อย
อาหารบนเครื่อง อร่อยไหมถามดู ซ้อมไปตั้งแต่ขึ้นเครื่องทุกอย่างนี่เหมือนบาบูเลย ผักมาก่อนเลย รสชาติยังเป็นของไทยอยู่เปรี้ยวหวาน แต่ตอนนี้ไม่หิวข้าวแล้วนอกจากหิวนอน ไม่ทานสามารถที่จะเก็บใส่กระเป๋าได้เลย เวลานี้ขอร้องอย่ามายุ่งฉันจะนอน
เพื่อนร่วมทางของเราวันนี้ไม่ใช่คณะที่มาด้วย มามี่เลยก็ว่าได้ เพราะว่าเขาบอกว่าเรานั้นคือลูกสาวเขา ไม่พูดมากตอนนี้ง่วงนอน ขอถ่ายได้ถ่ายให้แล้วเราก็ส่งไลน์ให้เขา นึกว่าเราเป็นคนอินเดียส่งภาษามาอย่างเยอะ ตอบบ้างแต่ตาจะหลับแล้ว
หากว่าได้นั่งด้วยกับชาวอินเดียเรานั้นจะต้องทำใจหน่อยในเรื่องของความหอมของน้ำหอม หายใจไกลๆ กันนะ หอมฟุ้งมาก แต่ก็พอทนได้เพราะว่าอากาศในเครื่องนั้นเย็น นั่งข้างหน้าต่างรอบนี้ ออกไปเข้าห้องน้ำไม่ต้องคิดเลย เดี๋ยวเครื่องก็ลงแล้ว
ถึงสนามบินในช่วงเช้ามืด แต่ว่าเรานั้นต้องรอกระเป๋าของพี่ที่โดนทับจนไม่เหลือสภาพในการเป็นกระเป๋า หากว่าเราเดินทางไปอินเดียนั้นเราจะต้องเช็คในเรื่องของกระเป๋าหน่อยว่าแข็งแรงคงทนไหม เพราะว่าตอนออกมาเราต้องลุ้นว่ากระเป๋าจะลงเครื่องมากับเราหรือไม่ หากรอนานเป็นชั่วโมงแล้วไม่เห็นไม่ต้องติดต่อเอง ให้คนอินเดียเขาคุยกันจะได้รู้เรื่องเร็วมากขึ้น
สรุปคือสายการบินเป็นคนรับผิดชอบในการเคลมกระเป๋า มีสองอย่างจะเอากระเป๋าหรือว่าเอาเงิน จากนั้นเราเดินทางต่อด้วยรถไม่ประจำทาง
ตอนนี้บาบูเริ่มงง แล้วว่าเรื่องมันจะจบอย่างไร ส่วนเรานั้นยังไม่ออกมาจากสนามบินเพราะว่าอากาศด้านนอกนั้นมือแข็งแต่ดูบาบูนั้นเหมือนไม่สนใจในอากาศเลย ยืนสบายใจ รถที่เราจะเดินทางนั้นมีด้วยกันสองคัน รุ่นรถไม่ต้องพูดถึงญี่ห้อดีมาก ในไทยน่าจะคันเป็นล้าน แอร์เย็นฉ่ำนอนได้สบายเลย นั่งรถในรถหน้าที่ขนกระเป๋าตอนนี้บาบูจัดการให้
สิ่งที่ต้องจำคือป้ายทะเบียนรถ เพราะว่ารถนี้เหมือนกันจำนวนมาก และที่เหมือนกันมากกว่ารถคือหน้าตาของคนขับรถ เหมือนกันไปหมดจำไม่ได้ แต่เรานั้นไม่ยอมลงจากรถเข้าห้องน้ำแน่นอน รอลงปลายทางทีเดียว
ตอนนี้เรารอประมาณครึ่งชั่วโมงรถยังไม่ออก เพราะว่าคนขับรถนั้นตกลงกันยังไม่ได้ว่าจะขับไปในเส้นทางไหน แวะทานน้ำชากาลัมจายที่ไหนดี ตอนเช้าจะต้องมีการทานกาลัมจาย คือชาใส่นม หวานมาก แต่กลิ่นสมุนไพรใครที่ชอบทานน้ำหวานถูกใจเลย
วิธีในการทานกาลัมจายนั้นจะต้องทานในเวลาที่กำลังร้อนหากว่ามันเย็นแล้วจะหวานเหมือนนมข้นมาก อร่อยแต่แล้วแต่คนชอบมีกลิ่นของสมุนไพรติดจมูกด้วย
ในการดื่มกาลัมจายนั้นจะต้องระวังเรื่องตดหน่อยเพราะว่าหากว่าเรานั้นเลือดลมไม่ค่อยดี ตดตลอดทางแน่นอน แต่อร่อยนะหากทานเยอะ แก้วเดียวพอ อีกนานเลยเราจะเดินทางถึงปลายทาง นอนได้เลย ตอนนี้รถยังออกไม่ได้เพราะว่ายังมีหมอกหนาจนไม่สามารถที่จะขับรถผ่านไปได้ ไม่ได้นี่คือมองไม่เห็นอะไรเลยขาวโพลนไปทั้งหมด
แต่บาบูบอกว่าไม่มีปัญหา เดี๋ยวพระอาทิตย์ขึ้นหมอกมันก็หายไปหมดแล้ว แต่ว่าที่คงเหลือคือฝุ่นในการขับรถ ในการเดินทางในอินเดียนั้นเส้นทางที่เดินทางไปยังเป็นดินสีแดง ฝุ่นเยอะอาจจะต้องมีการป้องกันโดยการสวมใส่หน้ากาก แต่หากอยู่บนรถก็ให้ระวังเช่นกัน เดินทางอันแสนยาวนาน เวลาที่จอดจะจอดไม่นานเพราะว่าเราเร่งว่าจะต้องถึงก่อนเวลาเที่ยงวัน เขาเลยไม่ค่อยจอด แต่หากว่าเรานั้นไม่เร่งเขาจะขับไปจอดตรงนั้นตรงนี้จนใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ
การเดินทางในอินเดียคือความสุขที่ไม่ต้องรีบเพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรบ้างระหว่างทาง เจอวัวขวางทางไหม เจอเพื่อนของคนขับรถไหมคงคุยยาวแบบนั้น หรือว่าเจอคนที่เรียกค่าผ่านทาง โดยการใช้วรรณของตนในการคุม แต่เราเดินทางกับเจ้าพ่ออินเดียเลยไม่กลัวอะไร ใครใหญ่ขวางทางได้เลยได้เรื่องแน่นอน จำเป็นมากในการเดินทางข้ามเมืองเราจะต้องรู้จักคนในวรรณะที่สูงเพื่อความปลอดภัยของเรา
แล้วเราเดินทางถึงที่หมายในเวลาเลยกำหนด แต่เรานั้นเผื่อเวลาในการเดินทางเลยหนึ่งวันไม่มีปัญหาเมื่อไปถึงคือเข้าที่พักที่วัดไทยกุสินาราพักผ่อนเดินเล่นกินนทอดไข่เจียวเลย















