คนพูดเก่ง พูดคล่อง อายุยืนกว่าคนทั่วไป กับ 10 วิธีพูดให้เก่ง
ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้เผยแพร่ข้อมูลน่าสนใจผ่านเฟซบุ๊ก “สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์” อ้างอิงถึงงานวิจัยว่า “ความสามารถในการพูดอย่างคล่องแคล่ว บ่งชี้อายุยืน”
ผศ.นพ.สุรัตน์ ระบุว่า การพูดเก่ง พูดคล่อง หรือความสามารถในการพูดอย่างคล่องแคล่ว สามารถบ่งชี้อายุยืนได้ เพราะ “การพูด” เราใช้สมองหลากหลายส่วน เมื่ออายุมากและสมองเสื่อม การพูดจะไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร พูดศัพท์ไม่ออก พูดตะกุกตะกัก และนั่นเป็นตัวบ่งชี้ว่า ความยืนยาวของอายุมากแค่ไหน
งานวิจัยจาก Berlin Aging Study เผยให้เห็นว่า ความสามารถทางการพูด (Verbal Fluency) เป็นความสามารถในการสร้างคำอย่างรวดเร็ว มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับอายุขัยในวัยชรา
นักวิจัยรวบรวมข้อมูล จาก Berlin Aging Study ที่เก็บข้อมูลด้านความสามารถทางปัญญาของผู้เข้าร่วมตลอด 8 ช่วงเวลา ภายในระยะเวลา 18 ปี โดยแต่ละคนได้รับการทดสอบเกี่ยวกับความเร็วในการรับรู้ ความจำเชิงเหตุการณ์ ความสามารถทางการพูด (อย่างเช่น การตั้งชื่อคำในหมวดหมู่หรือคำที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรเฉพาะ) และความรู้ทางการพูด
“ผู้ที่มีความสามารถทางการพูดสูงกว่ามีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวขึ้นเกือบ 9 ปี เมื่อเทียบกับผู้ที่มีความสามารถทางวาจาต่ำกว่า” งานวิจัยระบุ
งานวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้เข้าร่วม 516 คน ที่มีอายุเฉลี่ย 85 ปี และติดตามพวกเขาเป็นเวลา 18 ปี พบว่า ความสามารถทางการพูดเป็นเพียงความสามารถทางปัญญาเดียวที่สามารถทำนายอายุขัยได้อย่างมีนัยสำคัญ เหนือกว่าความจำ ความเร็วในการรับรู้ และสติปัญญาทั่วไป
ผู้ที่มีคะแนนความสามารถทางพูดสูง มีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยยืนยาวขึ้น โดยมีช่วงอายุขัยเฉลี่ยต่างกันเกือบ 9 ปีระหว่างกลุ่มที่มีคะแนนสูงและต่ำ ขณะที่ การทำงานของสมองทางปัญญาอื่น ๆ อย่างเช่น ความจำเหตุการณ์ และความเร็วในการรับรู้ ไม่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ
10 วิธีพูดให้เก่ง (เคล็ดลับที่ต้องฝึก)
1.รู้ความแตกต่างระหว่าง “พูดเก่ง” กับ “พูดเป็น”
“คนพูดเป็น” คือ คนที่พูดได้ทุกเรื่อง ตอบโต้กับบทสนทนาได้อย่างต่อเนื่องเป็นธรรมชาติ พูดได้ไม่มีหยุด
“คนพูดเก่ง” จะสามารถควบคุมสถานการณ์ในการพูดได้ดี เรียบเรียงทุกอย่างก่อนพูด รู้กาลเทศะ รู้จังหวะเวลาในการพูด เลือกใช้คำพูดได้เหมาะสม และเข้าถึงความรู้สึกของผู้ฟัง ในขณะเดียวกันยังเป็นผู้ฟังที่ดีได้
2.เตรียมตัวดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
- ก่อนพูดต้องเตรียมข้อมูลที่จะพูดให้มากที่สุด กำหนด Timeline ในการลำดับเรื่อง กำหนดถ้อยคำที่จะสื่อสารกับเป้าหมายว่า ผู้ฟังเป็นอย่างไร
- เลือกภาษาที่ใช้ให้สอดคล้องกับคู่สนทนา หรือกลุ่มผู้ฟัง ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็กุมความได้เปรียบในการพูดได้มากขึ้นเท่านั้น
3.อย่าพูดจากการท่องจำ
ให้พูดจากความเข้าใจเท่านั้น เลือกจำเฉพาะเนื้อหาที่สำคัญ ไม่ใช่เนื้อหาทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่ผู้ฟังชอบฟังความเห็นมากกว่าความรู้
4.ฝึกการพูดสั้น ๆ แบบ Small Talk
การพูดสั้น ๆ ช่วยฝึกให้จับใจความในการพูดได้กระชับ การพูดแบบ Small Talk ไม่ใช่การพูดแบบจริงจัง แต่เป็นเหมือนการทักทาย เปิดหัวข้อสนทนาแบบเป็นธรรมชาติ และไม่จำเป็นต้องพูดกับคนที่คุ้นเคย อย่างเช่น การถามทาง พูดถึงสภาพอากาศ ทักทายสัพเพเหระกับผู้คนในตลาด แต่ต้องไม่แสดงท่าทีเป็นกันเองมากเกินไป
5.ต้องเป็นนักฟังที่ดีด้วย
การได้ฟังอะไรมาก ๆ นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังได้เรียนรู้บุคลิกภาพ ท่าทาง ลีลาการพูด ของคนพูด นำมาเปรียบเทียบ หรือนำส่วนที่ดีมาปรับใช้กับการพูด สามารถฝึกพูดได้จากการดูวิดีโอ แนว Ted Talk หรือ Stand Up ต่าง ๆ
6.แบ่งสัดส่วนเนื้อหาที่จะพูดให้ชัด
จะช่วยให้การนำเสนอ มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น เริ่มบทสนทนาด้วยการเกริ่นนำ เพื่อดึงให้คนฟังหันมาสนใจ เมื่อคนเริ่มสนใจแล้ว ก็ค่อย ๆ นำเสนอส่วนสาระสำคัญที่เตรียมไว้จริง ๆ ในระหว่างบทสนทนา ไม่ควรปล่อยให้บรรยากาศดูเครียดมากจนเกินไป อาจแทรกเรื่องราวสนุก ๆ มุกขำ ๆ เข้าไปบ้าง ตามจังหวะโอกาสที่เหมาะสม และที่ต้องไม่ลืม คือการสรุปปิดประเด็นให้กระชับ
7.ใช้ Story Telling เพื่อเชื่อมโยง
ต้องเป็นนักเล่า การเชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ เข้ากับการดำเนินชีวิตจริง ๆ เป็นทางเลือกที่ดีในการเป็นนักพูด เพราะเราจะพูดจากความรู้สึกอารมณ์ร่วม ท่าทางที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
8.ฝึกพูดแบบไล่น้ำหนักเสียง
ควรฝึกกำหนดระดับของเสียงสูง-เสียงต่ำ ในการพูดให้เคยชิน เพราะการกำหนดระดับเสียงพูด เรียกกันว่า Voice Pitch เป็นหัวใจหลักของการสื่อสารที่ดี มีงานวิจัยสรุปออกมาว่า เสียงที่ทุ้มนุ่มลึก จะสร้างความเชื่อมั่นได้ดีกว่า แต่เสียงสูงก็ดึงดูดความน่าสนใจได้ดีเช่นกัน และคนฟังส่วนใหญ่ มักจะคล้อยตามคนที่พูดด้วยเสียงต่ำมากที่สุด
9.ปล่อยให้มีจังหวะเงียบบ้าง
เพราะความเงียบอย่างถูกจังหวะเวลา บางครั้งก็เสียงดังและได้ยินชัดกว่าคำพูดใด ๆ แต่ก็ต้องระวังอย่าปล่อยให้เงียบจน Dead Air เราจะเห็นจากนักพูดเก่ง ๆ ส่วนใหญ่จะมีจังหวะหยุด ปล่อยเวลาให้ผู้ฟังคิด แล้วจึงปล่อยประโยคโดน ๆ คำคมเด็ด ๆ ออกมา เพื่อที่จะดึงดูดให้คนฟังรอคอยที่จะฟังอีกครั้ง
10.ฝึกฝนและให้กำลังใจตัวเอง
วิธีที่ง่ายสุด คือ การพูดกับตัวเองที่หน้ากระจก ระหว่างพูดก็พยายามจัดสีหน้าและท่าทางให้เหมาะสม เสมือนหนึ่งว่าพูดอยู่ต่อหน้าคนเป็นร้อยเป็นพัน พยายามสร้างทัศนคติที่ดีในการพูด และปลุกเร้าความตื่นตัวอยู่เสมอ มองหาจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขในทุก ๆ ครั้ง พร้อม ๆ กันกับให้กำลังและเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราจะเป็นคนพูดที่ดีที่เก่งให้ได้














