กฏ 5 ข้อ การนั่งโบกี้ท้ายขบวนรถไฟ
บทที่ 1: คำล่ำลือและแผนการ
ณ ใจกลางเมืองหลวงที่จอแจ สถานีรถไฟหัวลำโพงยังคงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่คึกคัก แม้ในยามค่ำคืน เสียงประกาศตารางเดินรถ สลับกับเสียงลากกระเป๋าเดินทาง และเสียงพูดคุยของผู้คนดังระงมไปทั่ว แต่ภายใต้ความวุ่นวายนั้น ยังมีเรื่องเล่ากระซิบกระซาบเกี่ยวกับโบกี้รถไฟฟ้าปริศนาท้ายขบวน เรื่องเล่าที่ชวนขนหัวลุกจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้
โบกี้สุดท้ายของขบวนรถไฟฟ้าสายยาวเหยียด ซึ่งถูกปิดตายมานานหลายปี มีประวัติอันน่าสะพรึงกลัว เล่ากันว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน เคยเกิดเหตุการณ์สยองขวัญขึ้นในโบกี้คันนี้
ผู้โดยสารทั้งหมดหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงคราบเลือดและเสียงกรีดร้องที่ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำของผู้เห็นเหตุการณ์ แม้เจ้าหน้าที่รถไฟจะพยายามหาสาเหตุ แต่ก็ไม่พบอะไรนายนอกเหนือจากความว่างเปล่า
หลังเหตุการณ์นั้น ผู้ที่เผลอเข้าไปในโบกี้ดังกล่าว มักจะเจอเรื่องหลอนจนเสียสติไปหลายราย ทางการรถไฟเคยพยายามถอดโบกี้คันนี้ออก แต่กลับทำให้รถไฟทั้งขบวนไม่สามารถขยับหรือใช้งานได้เลยแม้แต่น้อย มันเป็นความแปลกประหลาดที่ไร้คำอธิบายราวกับว่าโบกี้คันนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกของขบวนรถไฟแห่งนี้
และด้วยเหตุนี้เอง โบกี้ปริศนาจึงยังคงถูกพ่วงไว้ท้ายขบวนตลอดมา โดยถูกปิดตายและมีป้ายประกาศ “ห้ามเข้า” ติดไว้อย่างชัดเจน พร้อมกับ **กฏ 5 ข้อ** ที่ถูกระบุไว้อย่างเคร่งครัด หากมีความจำเป็นต้องใช้งานโบกี้นี้จริงๆ
**กฏ 5 ข้อ ของโบกี้ท้ายขบวน**
1. **ห้ามเปิดไฟเกิน 1 ดวง:** แสงสว่างที่มากเกินไปจะปลุกบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่
2. **ห้ามส่งเสียงดัง:** เสียงใดๆ ที่รบกวนความเงียบ จะนำพาความวิปลาสมาเยือน
3. **ห้ามมองออกไปนอกหน้าต่าง:** สิ่งที่อยู่นอกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรเห็น
4. **ห้ามทิ้งสิ่งของใดๆ ไว้ในโบกี้:** สิ่งของที่ถูกทิ้งไว้ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน และจะติดตามเจ้าของไปตลอดกาล
5. **ห้ามออกนอกโบกี้จนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง:** การออกไปก่อนเวลาอันควร จะนำพาความตายมาให้
แม้โบกี้คันนี้จะถูกปิดตาย แต่ก็มีข้อยกเว้นบางกรณีที่ต้องใช้งาน นั่นคือการขนส่งสิ่งของพิเศษที่ไม่อาจปะปนกับผู้โดยสารทั่วไปได้ เช่น **ศพ** หรือ **นักโทษอันตรายสูง** ข้ามจังหวัด และในคืนนี้ สองนักโทษที่กำลังจะถูกขนย้าย คือ **ฉัตร** และ **ภูมิ**
**ฉัตร** นักโทษคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ผู้มีประวัติโหดเหี้ยม และ **ภูมิ** นักโทษคดีปล้นสะดมที่หลบหนีจากเรือนจำมาแล้วหลายครั้ง ทั้งคู่ถูกจับกุมได้พร้อมกัน และกำลังจะถูกส่งตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังเรือนจำที่ตั้งอยู่ห่างไกลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยความที่ทั้งสองเป็นนักโทษสำคัญ การขนย้ายจึงต้องเป็นไปอย่างลับๆ และรัดกุมที่สุด และโบกี้ท้ายขบวนแห่งนี้ ก็ถูกเลือกให้เป็นพาหนะในการขนย้าย
ฉัตรและภูมิได้ยินเรื่องราวของโบกี้ปริศนานี้มาบ้างแล้ว จากคำบอกเล่าของนักโทษรุ่นพี่ในเรือนจำ ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาได้ยินมาว่า **จะไม่มีผู้คุมคนไหนกล้าเข้ามาร่วมในโบกี้ท้ายขบวนนี้ด้วย** เหตุผลที่ฟังดูงมงายนี้ กลับกลายเป็นประกายแห่งความหวังสำหรับแผนการหลบหนีของพวกเขา
“ไอ้ฉัตร มึงได้ยินมาเหมือนกูไหมวะ” ภูมิกระซิบถามฉัตร ขณะที่ถูกล่ามโซ่จูงขึ้นรถไฟ
“เรื่องอะไรวะไอ้ภูมิ” ฉัตรตอบเสียงเรียบ แต่แววตาฉายความตื่นเต้น
“เรื่องโบกี้ท้ายขบวนนั่นไง ที่ว่าไม่มีผู้คุมคนไหนกล้าเข้ามาข้างใน” ภูมิยิ้มมุมปาก “นี่แหละโอกาสของเรา”
ฉัตรขยับตัวเล็กน้อย พยักหน้าช้าๆ “กูรู้แล้ว แล้วแผนของมึงเป็นยังไง”
“ง่ายๆ เลยว่ะ” ภูมิกระซิบตอบ “พอเข้าไปในโบกี้แล้ว เราก็ปลดโซ่ แล้วหาทางเปิดประตูหนี พอถึงจังหวะที่รถไฟชะลอตัว หรือจอดแวะสถานีระหว่างทาง เราก็กระโดดหนีออกไป”
“มึงแน่ใจเหรอวะ ว่ามันจะง่ายขนาดนั้น” ฉัตรคลางแคลงใจ “พวกผู้คุมมันไม่โง่นะเว้ย”
“มึงก็ดูสิไอ้ฉัตร” ภูมิมองไปที่ผู้คุมสองคนที่จูงพวกเขาขึ้นรถไฟ “พวกมันยังไม่กล้าก้าวเท้าเข้าโบกี้ด้วยซ้ำ แค่มันส่งเราเข้าไป แล้วปิดประตูจากข้างนอก”
จริงอย่างที่ภูมิว่า ผู้คุมทั้งสองคนหยุดยืนอยู่แค่หน้าประตูโบกี้ท้ายขบวน พวกเขาปลดโซ่ที่ล่ามฉัตรและภูมิไว้ แล้วผลักทั้งสองคนเข้าไปในโบกี้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะปิดประตูเหล็กหนาทึบจากด้านนอก เสียงกุญแจล็อคดัง “คลิก” สองครั้ง เป็นสัญญาณว่าพวกเขาถูกขังอยู่ภายในโบกี้ปริศนาแล้ว
ทันทีที่ประตูถูกปิด เสียงเครื่องปรับอากาศเก่าๆ ก็เริ่มทำงาน เสียงหวีดหวิวของลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศ และกลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นคาวสนิมคละคลุ้งไปทั่วโบกี้ ภายในโบกี้มืดสลัว มีเพียงหลอดไฟนีออนเก่าๆ ดวงเดียวที่กะพริบถี่ๆ ให้แสงสว่างริบหรี่เพียงพอที่จะมองเห็นข้าวของที่ถูกทิ้งร้างไว้เกลื่อนพื้น ผนังโบกี้เต็มไปด้วยคราบสกปรก และรอยขีดข่วนคล้ายรอยเล็บที่เซาะลึกเข้าไปในเนื้อเหล็ก มันดูเก่าแก่และถูกทิ้งร้างมานานแสนนาน
“เฮ้ย! แผนเริ่มได้เลย” ภูมิกระซิบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น แต่ความต้องการอิสรภาพนั้นแรงกล้ากว่าสิ่งใด
-----------------------------------------------------------------------------
บทที่ 2: การละเมิดกฏข้อที่1 และ 2
“มึงแน่ใจนะว่าไม่มีใครเข้ามาในนี้” ฉัตรถามย้ำ เสียงของเขาแฝงความไม่มั่นใจ
“เออน่า กูได้ยินมากับหู” ภูมิตอบ ขณะที่พยายามงัดโซ่ที่ล่ามข้อมือออก “ถ้ามีใครเข้ามาจริงๆ พวกมันก็คงนั่งอยู่ข้างนอกแล้ว”
ความมืดสลัวภายในโบกี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการปลดโซ่ “มองไม่เห็นเลยวะ” ภูมิบ่น “เปิดไฟเพิ่มหน่อยไม่ได้เหรอวะ”
ฉัตรชี้ไปที่หลอดไฟนีออนเก่าๆ ดวงเดียวที่ยังทำงานอยู่ “มึงลืมกฏข้อแรกเหรอวะไอ้ภูมิ **ห้ามเปิดไฟเกิน 1 ดวง**”
“โธ่เว้ย! กฏบ้าบออะไรวะ” ภูมิสบถ “เป็นแค่วาทกรรมหลอกเด็ก ไอ้พวกผู้คุมมันคงสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมาให้พวกนักโทษอย่างเรากลัว จะได้ไม่กล้าแหกคุกไง”
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหลบหนี ภูมิไม่สนใจคำเตือนของฉัตร เขาเดินโซซัดโซเซไปตามผนังโบกี้ มือคลำหาแผงควบคุมไฟจนเจอ เมื่อสัมผัสได้ถึงปุ่มเปิด-ปิดไฟ ภูมิไม่รอช้า กดปุ่มรัวๆ
**คลิก! คลิก! คลิก!**
หลอดไฟนีออนเก่าๆ อีกสองสามดวงที่อยู่ใกล้เคียงก็กะพริบติดขึ้นมาอย่างช้าๆ แสงสว่างจ้ากว่าเดิมเล็กน้อยสาดส่องไปทั่วโบกี้ เผยให้เห็นรอยคราบเลือดแห้งกรังบนพื้นและผนัง รอยขีดข่วนที่ดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนขึ้นเมื่อแสงสว่างส่องถึง และเงาตะคุ่มๆ ของสิ่งของที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ดูคล้ายกองกระดูกและเศษผ้าขาดๆ
ทันทีที่แสงไฟเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในโบกี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เย็นยะเยือกจนสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ เสียงหวีดหวิวของลมที่พัดผ่านช่องระบายอากาศกลับกลายเป็นเสียงคร่ำครวญเบาๆ ราวกับมีใครกำลังร้องไห้อยู่ในความมืดมิด
“มึงทำอะไรของมึงวะไอ้ภูมิ!” ฉัตรเสียงแข็ง “มึงละเมิดกฏข้อแรกแล้วนะ”
“แค่เปิดไฟเพิ่มนิดหน่อยเอง มึงจะกลัวอะไรนักหนา” ภูมิหัวเราะเยาะ พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ในใจลึกๆ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
ขณะที่ภูมิยังคงง่วนอยู่กับการปลดโซ่ของตัวเอง ฉัตรก็เดินสำรวจไปรอบๆ โบกี้เพื่อหาอะไรมาปลดโซ่ของเขา ดวงตาของเขาเหลือบไปเห็นค้อนเก่าๆ ตกอยู่ที่พื้นข้างเก้าอี้เหล็กที่ถูกโซ่ล่ามไว้ ฉัตรไม่รอช้า รีบก้มลงหยิบมันขึ้นมา เขาใช้ค้อนทุบไปที่โซ่ที่ล่ามข้อมือของเขา เสียงเหล็กกระทบกันดังกังวานไปทั่วโบกี้
**แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!**
เสียงทุบโซ่ดังกึกก้องในความเงียบงันของโบกี้ที่กำลังเคลื่อนที่ และทันใดนั้นเอง เสียงคร่ำครวญที่ได้ยินก่อนหน้าก็ดังขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่เสียงลมอีกต่อไป แต่เป็นเสียงโหยหวนราวกับกำลังเจ็บปวดทรมาน บางครั้งก็แว่วคล้ายเสียงหัวเราะเยือกเย็นที่ดังมาจากที่ไหนสักแห่งในความมืดที่อยู่ปลายสุดของโบกี้
“เฮ้ย! เสียงอะไรวะ” ภูมิทักท้วง ใบหน้าซีดเผือด
“เสียงลมมั้ง” ฉัตรตอบ พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น “หรือว่ามันคือเสียงขบวนรถไฟที่กำลังวิ่ง”
แต่ทั้งคู่รู้ดีว่ามันไม่ใช่เสียงลม และไม่ใช่เสียงรถไฟ เสียงนั้นฟังดูเป็นเสียงของผู้หญิงที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ สลับกับเสียงกระซิบกระซาบที่ฟังไม่ได้ศัพท์ มันดังขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มแยกแยะได้ว่ามีหลายเสียง หลายผู้คน และหลายความเจ็บปวด
“มึงละเมิดกฏข้อสองแล้วนะไอ้ฉัตร!” ภูมิพูดเสียงสั่น “**ห้ามส่งเสียงดัง**”
ฉัตรหยุดทุบโซ่ เขามองไปรอบๆ โบกี้ ดวงตาพยายามปรับให้ชินกับแสงสลัวๆ แต่กลับมองเห็นเพียงเงาดำทะมึนที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ตามมุมมืด เหมือนมีบางสิ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
“มันเป็นแค่เรื่องเล่า” ฉัตรพยายามปลอบใจตัวเองและภูมิ “ไม่มีอะไรหรอก”
แต่เสียงคร่ำครวญนั้นกลับดังขึ้นราวกับเป็นการตอบโต้ และในที่สุด โซ่ที่ล่ามข้อมือของฉัตรก็ขาดสะบั้น เขาโยนค้อนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แล้วรีบไปช่วยภูมิปลดโซ่ของเขา
บทที่ 3: การละเมิดกฏข้อที่ 3 และ 4
เมื่อโซ่หลุดออกไปแล้ว ทั้งสองก็รู้สึกเป็นอิสระ แต่ความรู้สึกตื่นเต้นที่เคยมีกลับถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวที่กัดกินจิตใจ เสียงคร่ำครวญยังคงดังต่อเนื่อง ราวกับกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“เราต้องรีบหนี” ภูมิพูดเสียงสั่น “ก่อนที่อะไรบางอย่างจะเกิดขึ้น”
พวกเขาพยายามเปิดประตูโบกี้ แต่ประตูถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนา ไม่สามารถเปิดออกได้
“ต้องมีทางออกสิ” ฉัตรพึมพำ ขณะที่พยายามดันประตูอย่างแรง
“มีทางออกอื่นแน่” ภูมิเดินไปตามผนังโบกี้ สายตามองหาหน้าต่างเผื่อจะสามารถงัดออกไปได้ “เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้”
ดวงตาของภูมิเหลือบไปเห็นหน้าต่างบานหนึ่งที่ไม่ได้ถูกปิดตายสนิท เขาเดินเข้าไปใกล้ พยายามดันหน้าต่างออก
“มึงจะทำอะไรวะไอ้ภูมิ!” ฉัตรตะโกน “**ห้ามมองออกไปนอกหน้าต่าง** มึงลืมกฏข้อสามเหรอ”
“เราไม่มีทางเลือกแล้วไอ้ฉัตร” ภูมิบอก “เราต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้”
ภูมิออกแรงดันหน้าต่างอย่างสุดกำลัง เสียงเหล็กเสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าด และในที่สุด หน้าต่างก็เปิดออกเล็กน้อย แสงจันทร์สลัวๆ สาดส่องเข้ามาในโบกี้ เผยให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกที่มืดมิด มีเพียงเงาของต้นไม้ที่เคลื่อนไหวไปตามแรงลม และโครงสร้างของสะพานรถไฟที่ทอดยาวเป็นทาง
ภูมิชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อย สายตาพยายามมองหาสิ่งผิดปกติ ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้สะพาน มันเป็นเงาร่างดำทะมึนหลายสิบร่างที่กำลังยืนนิ่ง จ้องมองมาที่โบกี้ของพวกเขา ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงก่ำราวกับถ่านไฟ และพวกมันกำลังยกมือขึ้นโบกไปมา ราวกับเชื้อเชิญให้พวกเขาลงไป
ภูมิผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ใบหน้าซีดเผือดราวกับศพ
“มึงเห็นอะไรวะไอ้ภูมิ!” ฉัตรถามเสียงสั่นเทา
“ไม่… ไม่ใช่คน” ภูมิพูดเสียงกระซิบ “มันไม่ใช่คน”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงโครมครามดังมาจากด้านหน้าของโบกี้ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงเหล่านั้นฟังดูคล้ายเสียงโซ่ลากพื้น ผสมกับเสียงครูดของโลหะ และเสียงที่คล้ายกับเสียงของเนื้อหนังที่ถูกฉีกขาด
ทั้งสองคนต่างตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว พวกเขาหันไปมองหน้ากัน ดวงตาเต็มไปด้วยความสยองขวัญ
“เราต้องหาทางหนี” ฉัตรพูดเสียงเบา “ก่อนที่มันจะมาถึง”
ในความตื่นตระหนก ภูมิคว้ากระเป๋าเป้ของเขาที่วางอยู่ข้างตัว เตรียมที่จะทิ้งมันลงจากหน้าต่าง เพื่อเป็นการถ่วงเวลา หรืออาจจะเบี่ยงเบนความสนใจบางอย่างที่กำลังจะเข้ามา
“มึงจะทำอะไรวะ!” ฉัตรตะโกน “**ห้ามทิ้งสิ่งของใดๆ ไว้ในโบกี้** มึงจะละเมิดกฏข้อสี่อีกแล้วเหรอ”
แต่ภูมิไม่สนใจ เขาโยนกระเป๋าเป้ของเขาออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
**ฟิ้ว!**
กระเป๋าเป้ร่วงหล่นลงไปในความมืดมิดเบื้องล่าง และในทันทีนั้นเอง เสียงโหยหวนที่ดังมาจากด้านหน้าของโบกี้ก็ทวีความรุนแรงขึ้น ราวกับว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากำลังโกรธแค้น และเสียงกระซิบกระซาบที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังขึ้นรอบตัวพวกเขา ราวกับมีบางสิ่งกำลังล้อมรอบพวกเขาไว้แล้ว
บทที่ 4: การละเมิดกฏข้อที่ 5 และจุดจบ
เสียงโครมครามจากด้านหน้าของโบกี้ดังขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งสองคนมั่นใจว่ามีบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว เสียงของมันหนักหน่วงและน่าขนลุก จนทำให้ทุกย่างก้าวของมันเหมือนกับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งในอกของพวกเขา
“เราต้องออกไปจากที่นี่” ภูมิพูดเสียงสั่น ตัวเขาเย็นเฉียบ “กระโดดออกไปเลย”
ฉัตรส่ายหน้า “มึงบ้าไปแล้วเหรอไอ้ภูมิ! **ห้ามออกนอกโบกี้จนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง** มึงลืมกฏข้อห้าไปแล้วเหรอ”
“มึงอยากรอให้มันมาถึงตัวเราก่อนเหรอวะไอ้ฉัตร” ภูมิสวนกลับ “อย่างน้อยการกระโดดลงไป เราก็ยังมีโอกาสรอด”
ไม่รอช้า ภูมิปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่างที่เปิดออก เขามองลงไปเบื้องล่าง เห็นพื้นดินที่มืดมิดและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วภายใต้แสงจันทร์ที่สลัว และเงาร่างดำทะมึนเหล่านั้นที่กำลังจ้องมองขึ้นมา
“ถ้ามึงจะอยู่ก็อยู่ไปคนเดียว” ภูมิพูดด้วยเสียงอันดัง “แต่กูไม่รอความตายอยู่ในนี้หรอก”
แล้วภูมิก็กระโดดลงไปในความมืดมิดเบื้องล่าง
ฉัตรยืนนิ่งอยู่ภายในโบกี้ที่กำลังสั่นสะเทือน เสียงโครมครามจากด้านหน้าโบกี้ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เขามองตามร่างของภูมิที่ร่วงหล่นลงไปในความมืดมิด แล้วก็มองเห็นเงาร่างดำทะมึนเหล่านั้นที่ดูเหมือนจะพุ่งเข้าใส่ภูมิอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องของภูมิที่ดังแว่วขึ้นมาเพียงชั่วครู่ ก็เงียบหายไปในความมืด พร้อมกับเสียงกระทบของบางสิ่งบางอย่างที่ดัง “ตุ้บ!”
ฉัตรยืนตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก เขารู้แล้วว่าภูมิไม่ได้รอด แต่การออกไปก็เท่ากับตาย
ทันใดนั้นเอง ประตูที่เชื่อมระหว่างโบกี้ก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นความมืดมิดที่ลึกเข้าไปกว่าเดิม และเงาร่างทะมึนขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในโบกี้ มันสูงใหญ่ผิดปกติ และดูเหมือนจะมีแขนขายื่นออกมามากมาย ดวงตาของมันเป็นสีแดงก่ำ ส่องประกายวาววับในความมืด ราวกับเพชรเม็ดงามที่ถูกเจียระไนจากความตาย
ฉัตรกรีดร้องสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว เขาวิ่งไปตามโบกี้ พยายามหาที่ซ่อนตัว แต่ไม่มีที่ใดที่จะปลอดภัยจากสิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามา เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังขึ้นรอบตัวเขา เสียงคร่ำครวญที่ดังมาตลอดทางทวีความรุนแรงขึ้น ราวกับกำลังจะฉีกทึ้งโสตประสาทของเขาให้ขาดสะบั้น
เขาล้มลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง พยายามตะเกียกตะกายหนี แต่ร่างของเขาไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยแรงอาถรรพ์บางอย่าง ดวงตาของฉัตรเบิกกว้างด้วยความสยองขวัญ เมื่อเงาร่างทะมึนนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนเขาสามารถสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากมัน
เสียงสุดท้ายที่ฉัตรได้ยิน คือเสียงหัวเราะเยือกเย็นที่ดังก้องอยู่ในหัวของเขา และภาพสุดท้ายที่เขาเห็น คือดวงตาสีแดงก่ำที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างกระหาย
---
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อรถไฟมาถึงสถานีปลายทางที่สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบโบกี้ท้ายขบวนตามปกติ พวกเขาพบฉัตรนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นโบกี้ ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าซีดขาวราวกับศพ และมีฟองเลือดแห้งกรังติดอยู่ที่มุมปาก เขาไม่ตาย แต่ก็ไม่ต่างจากคนตายไปแล้ว เขาเสียสติไปแล้วอย่างสมบูรณ์ ร่างกายของเขายังคงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา และดวงตาของเขาก็เบิกโพลงมองไปข้างหน้า ราวกับกำลังเห็นสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็นได้
ส่วนภูมิ… ไม่มีใครพบร่องรอยของเขา มีเพียงเศษผ้าขาดๆ ของชุดนักโทษ และรอยเลือดจางๆ ที่หน้าต่างโบกี้เท่านั้น
เหตุการณ์ในโบกี้ท้ายขบวนยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครไขได้ และกฏ 5 ข้อแห่งโบกี้สยองขวัญ ก็ยังคงถูกเล่าขานต่อกันมา ราวกับเป็นคำเตือนถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิดของโบกี้ปริศนา ที่ยังคงถูกพ่วงอยู่ท้ายขบวนรถไฟแห่งนี้ไปตลอดกาล…
(กดฟังคลิป สำหรับไม่ว่างอ่าน)
ฝากกดติดตามกันไว้ด้วยนะครับ ในยูทูป















