5 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สถานการณ์ในไทยที่น่าเป็นห่วง
จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในจังหวัดมหาสารคามกำลังเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสและการติดเชื้อ HIV ที่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันได้สะท้อนให้เห็นว่าเราควรคำนึงถึงความจำเป็นในการเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชนอย่างเร่งด่วน
1. ซิฟิลิส (Syphilis)
ลักษณะของโรค:
ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทุกทาง (ช่องคลอด ทวารหนัก ปาก) และยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ด้วย
ระยะของโรค:
-
ระยะแรก: แผลริมแข็ง (chancre) ที่อวัยวะเพศ/ปาก – ไม่เจ็บ ไม่คัน และหายเองได้ภายใน 3-6 สัปดาห์
-
ระยะที่สอง: มีผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีไข้ เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อม
-
ระยะซ่อนเร้น: ไม่มีอาการ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย
-
ระยะสุดท้าย: อาจส่งผลต่อสมอง หัวใจ ตา หรืออวัยวะภายในอื่น ๆ อย่างรุนแรง
การป้องกัน:
-
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลหรือผื่นของผู้ติดเชื้อ
-
ตรวจหาเชื้อซิฟิลิสหากมีความเสี่ยง หรือในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย
การรักษา:
-
ใช้ยาปฏิชีวนะ Penicillin G ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หากรักษาในระยะแรกจะได้ผลดีที่สุด
-
ผู้ที่แพ้เพนิซิลลินควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกทางเลือกอื่น
-
คู่นอนควรเข้ารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
2. หนองในแท้ (Gonorrhea)
ลักษณะของโรค:
เกิดจากแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae สามารถติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ทุกชนิด รวมถึงจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอด ทำให้เด็กมีภาวะตาอักเสบรุนแรง
อาการ:
-
ชาย: ปัสสาวะแสบขัด มีหนองสีเหลืองหรือเขียวจากปลายอวัยวะเพศ
-
หญิง: ตกขาวผิดปกติ ปัสสาวะขัด ปวดท้องน้อย มักไม่มีอาการชัดเจน
-
หากไม่รักษาอาจลุกลามจนกลายเป็นภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ทำให้มีลูกยากหรือท้องนอกมดลูก
การป้องกัน:
-
ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ
-
หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
-
คู่นอนควรตรวจและรักษาพร้อมกัน
การรักษา:
-
ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Ceftriaxone ฉีดร่วมกับยา Azithromycin หรือ Doxycycline รับประทาน
-
ต้องรับการรักษาทั้งคู่อย่างครบถ้วน และงดการมีเพศสัมพันธ์จนหายขาด
-
ควรติดตามการรักษาเพื่อตรวจว่าหายแล้วจริง เนื่องจากมีรายงานการดื้อยาบางส่วน
3. ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)
ลักษณะของโรค:
โรคไวรัสตับอักเสบบีเกิดจากการติดเชื้อ HBV (Hepatitis B virus) ซึ่งสามารถติดต่อได้หลายทาง รวมถึงทางเพศสัมพันธ์ เลือด และจากแม่สู่ลูก โดยเชื้อไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของตับ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในระยะยาว
อาการ:
-
อาการระยะแรก: ไข้ต่ำ เหนื่อย เพลีย คลื่นไส้ ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง
-
ผู้ติดเชื้อเรื้อรังอาจไม่มีอาการนานหลายปี แต่เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว
การป้องกัน:
-
วัคซีน: วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีให้ผลป้องกันสูง ควรได้รับตั้งแต่เด็กหรือก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์
-
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
-
หลีกเลี่ยงการใช้เข็ม ฉีดยา หรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น
-
ตรวจคัดกรองก่อนการแต่งงานหรือก่อนตั้งครรภ์
การรักษา:
-
หากเป็นเฉียบพลัน มักหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา
-
หากเป็นเรื้อรัง อาจต้องใช้ยาต้านไวรัส (เช่น Tenofovir หรือ Entecavir)
-
ผู้ติดเชื้อเรื้อรังควรตรวจตับและไวรัสสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
4. หูดหงอนไก่ / ไวรัส HPV (Human Papillomavirus)
ลักษณะของโรค:
เกิดจากเชื้อ HPV ซึ่งมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ บางชนิดเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง เช่น มะเร็งปากมดลูก ช่องคลอด ทวารหนัก ช่องปาก
อาการ:
-
หูดเล็ก ๆ หรือเป็นกลุ่มคล้ายดอกกะหล่ำ บริเวณอวัยวะเพศ หรือรอบทวารหนัก
-
ไม่เจ็บ แต่บางรายอาจรู้สึกคัน ระคายเคือง หรือเลือดออก
การป้องกัน:
-
วัคซีน HPV (เช่น Gardasil 9) ป้องกันได้ทั้งหูดหงอนไก่และมะเร็งที่เกิดจาก HPV
-
ใช้ถุงยางแม้ไม่สามารถป้องกัน 100% แต่ลดความเสี่ยงได้มาก
-
ตรวจ Pap smear และ HPV DNA test เป็นประจำในผู้หญิง
การรักษา:
-
ใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น Imiquimod, Podophyllin
-
การจี้หูดด้วยเลเซอร์หรือไฟฟ้า
-
HPV ไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ร่างกายบางรายสามารถกำจัดเชื้อได้เอง
5. เอชไอวี (HIV/AIDS)
ลักษณะของโรค:
HIV เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาจะพัฒนาเป็นโรคเอดส์ (AIDS) ทำให้ร่างกายติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายและเสี่ยงเสียชีวิต
การติดต่อ:
-
เพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
-
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
-
การถ่ายเลือด/อวัยวะที่มีเชื้อ
-
จากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม
อาการ:
-
ระยะแรก: มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต คล้ายไข้หวัดใหญ่
-
ระยะต่อมา: ไม่มีอาการเป็นเวลานาน
-
ระยะเอดส์: น้ำหนักลดเรื้อรัง ติดเชื้อซ้ำ ๆ หรือมะเร็งบางชนิด
การป้องกัน:
-
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
-
การใช้ยา PrEP (ยาก่อนสัมผัสเชื้อ) สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง
-
การตรวจเลือดเพื่อทราบสถานะของตนเองและคู่
การรักษา:
-
ใช้ยาต้านไวรัส (ART) เพื่อลดปริมาณไวรัสจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ
-
หากเริ่มรักษาเร็ว จะช่วยยืดอายุและมีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงปกติ
-
ผู้ติดเชื้อที่รักษาจนไม่พบเชื้อในเลือด (U=U) แทบไม่มีโอกาสแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์
ข้อควรปฏิบัติในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
-
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
-
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและผู้มีคู่นอนหลายคน
-
รับวัคซีนป้องกันโรค เช่น HPV และไวรัสตับอักเสบบี
-
หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น เข็มโกน หรือเข็มฉีดยา
-
พูดคุยเปิดใจกับคู่นอนเรื่องสุขภาพทางเพศ
จีน ไฟเขียว ให้ไทย ถล่มรังแก๊งสแกมเมอร์
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
ช็อกวงการมวย! “ตะวันฉาย” ขาหักหลังพ่าย TKO ยกแรก
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่น
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
ดีลอาวุธยักษ์สหรัฐฯ–ไต้หวัน กับสัญญาณเตือนที่ส่งตรงถึงปักกิ่ง
นักมวยรองแชมป์โอลิมปิก แซะเจ้าภาพไทย หลังตกรอบรองฯ ซีเกมส์ 33
ปุ๋ยล็อตใหญ่ ไปชายแดนเกือบ 3,000 นาย
"ฮุน เซน" เมินเก็บศพทหารเขมร ปล่อยทิ้งขึ้นอืดตามแนวชายแดน กลิ่นคละคลุ้ง
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
ทึ่งทั่วโลก : หุบเขาเทวดาวั้งเซียนกู่" หมู่บ้านที่สร้างอยู่ริมหน้าผา สถานที่ท่องเที่ยวแสนน่าทึ่งของประเทศจีน
ภาพวาดแผ่นเดียว ครูต้องรีบแจ้งแม่ให้พาไปหาหมอ ด่วน!!!









