6 ความเข้าใจที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับ ‘โรคเบาหวาน’
โรคเบาหวาน เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในกลุ่ม NCD (Non-Communicable Diseases) ที่เป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ มากมาย ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคเบาหวานหลายร้อยล้านคน และ มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามคนทั่วไปยังมีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่มาก ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้โดยไม่รู้ตัว
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานที่พบบ่อย
1.การเป็นเบาหวานไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงเท่านั้น การกินอาหารประเภทข้าว แป้ง หรือ ไขมัน มากเกินไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในเลือด และ ยังทำให้เกิดโรคอ้วน ส่งผลให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้เช่นเดียวกัน
2.เบาหวานเป็นโรคของคนสูงอายุเท่านั้น โรคเบาหวานสามารถเกิดได้กับคนทุกช่วงอายุ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรคเบาหวาน เบาหวานประเภทที่ 1 ส่วนใหญ่มักเกิดในเด็ก หรือ คนอายุน้อย เบาหวานประเภทที่ 2 ส่วนใหญ่มักเกิดในคนอายุ 45 ปีขึ้นไป ปัจจุบันเริ่มพบคนเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 อายุน้อยลง
3.คนผอมไม่เป็นเบาหวาน ? ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมก็มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้ แม้คนน้ำหนักตัวมากจะมีโอกาสเป็นเบาหวานสูงกว่า เพราะมีภาวะดื้อต่ออินซูลินมากกว่า แต่คนผอมที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น มีพันธุกรรมของโรคเบาหวาน หรือ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้
4.คนในครอบครัวไม่มีใครเป็นโรคเบาหวาน เพราะฉะนั้นคุณจะไม่เป็นเบาหวาน แม้ไม่มีคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน แต่ก็สามารถเป็นได้หากมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม
5.เมื่อเป็นเบาหวานห้ามกินขนมหวานหรืออาหารที่มีความหวาน เพราะภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นผลให้เกิดเบาหวาน คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าควรงดอาหารที่มีความหวานหรือมีน้ำตาล อย่างไรก็ตามหากกินอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม ร่วมกับการออกกำลังกาย การกินผลไม้หรือขนมหวานยังสามารถกินได้ แต่ไม่ควรกินมากเกินไป
6.หากเป็นเบาหวานห้ามบริจาคเลือด ถ้าเป็นเบาหวานสามารถให้เลือดได้ ถ้าการควบคุมระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ปกติ และ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ผู้รับบริจาคโลหิตอีกครั้ง
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และ พบอุบัติการณ์การเกิดโรคเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้จะเป็นโรคที่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้มากมาย แต่ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ หากทำความเข้าใจกับโรค และ ให้ความร่วมมือในการรักษา ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงกับคนปกติได้














