จุดกำเนิด HIV เมื่อวิทยาศาสตร์ตามล่า "คนไข้ศูนย์"
ในช่วง ทศวรรษ 1980 สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับศัตรูที่มองไม่เห็น นั่นคือ เชื้อ HIV โรคระบาดที่ไม่เคยมีมาก่อนและยังคงไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดจนถึงปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้คือวันที่ 5 พฤษภาคม 1981 เมื่อศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้รับรายงานผู้ป่วยชาย 5 คนในลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นกลุ่มชายรักชายที่สุขภาพแข็งแรง โดยมีอาการปอดบวมปริศนา หายใจลำบาก ไอแห้ง และไข้สูง ก่อนจะลุกลามเป็นภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
ไม่นานหลังจากนั้น CDC ก็พบรายงานผู้ป่วยลักษณะเดียวกันในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ก็มีรายงานผู้ป่วยโรคมะเร็งหายากในนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเรียกว่า "โรคเกย์แคนเซอร์" โดยมีตุ่มสีชมพูขึ้นตามตัวและมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง เมื่อการแพร่ระบาดรวดเร็วขึ้น CDC จึงเริ่มสอบสวนโรคทันที
การนิยามโรคและการขยายขอบเขต
ในปี 1982 โรคนี้ยังคงเป็นปริศนา จนกระทั่งพบผู้ป่วยลักษณะเดียวกันในยูกันดา แอฟริกา ซึ่งเรียกโรคนี้ว่า "โรคสลิมจิม" เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นและไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ CDC จึงประกาศชื่อโรคนี้ว่า "Acquired Immunodeficiency Syndrome" หรือย่อว่า "AIDS" (เอดส์)
เอดส์ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกลุ่มชายรักชาย แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือในปี 1983 เมื่อผู้หญิง 2 คนได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอดส์ ซึ่งได้รับเชื้อจากคู่รัก นี่เป็นการรายงานครั้งแรกที่ผู้หญิงติดเชื้อ ทำให้เอดส์ถูกทำความเข้าใจใหม่ว่าเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ไม่จำกัดเพศ ต่อมาจึงมีการค้นพบว่าโรคนี้เกิดจาก ไวรัส HIV
ตามรอยต้นตอและผลกระทบ
ในปี 1984 แม้จะมีความเข้าใจเรื่องโรคมากขึ้น แต่การรักษาหรือควบคุมยังไม่สามารถทำได้ จนกว่าจะรู้ว่าใครคือผู้ป่วยคนแรกที่นำเชื้อเข้าสหรัฐฯ ในวันที่ 30 มีนาคม 1984 หลังการสืบสวนเกือบ 3 ปี CDC ก็พบกับ "Patient Zero" คือ เกตอง ดูแกส (Gaëtan Dugas) พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้นำเชื้อ HIV เข้าสู่สหรัฐฯ โดยเขามีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง
แม้จะพบต้นกำเนิดในสหรัฐฯ แต่ต้นกำเนิดแรกของโรคนี้ในโลกยังคงเป็นปริศนา ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุดมาจากนักจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศสที่เสนอว่าเชื้อ HIV น่าจะมาจาก ลิงชิมแปนซี และแพร่สู่คนผ่านบาดแผลติดเชื้อ
นับตั้งแต่การระบาด เชื้อ HIV ได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วกว่า 33 ล้านคน การรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบันคือการรับประทาน ยาต้านไวรัส แต่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ การต่อสู้กับ HIV ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่มนุษยชาติยังคงเผชิญอยู่
















