สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคลิปมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังครับ เป็นเรื่องของสาวเยอรมันชื่อ แมรี่ ที่ตัดสินใจแบกเป้มาเที่ยวเมืองไทยแบบเรียบง่าย ไม่หรู ไม่เวอร์ ไม่เร่งรีบ แต่กลับได้เจออะไรที่เปลี่ยนมุมมองชีวิตไปตลอดกาล จะเรียกว่า "รักแรกพบกับเมืองไทย" ก็คงไม่ผิด
เปิดทริป! ลงเครื่องปุ๊บเจอความจริงแบบไม่อ้อมค้อม
แมรี่เดินทางมากับเพื่อนสนิท บินข้ามน้ำข้ามฟ้ามา 12 ชั่วโมง ลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิปุ๊บ ก็เจอเมืองกรุงแบบของจริง—แดดเปรี้ยง รถติด และคนรีบกันทั้งเมือง
เธอสารภาพตรง ๆ ว่า กรุงเทพไม่ได้เป็นแบบที่เคยจินตนาการไว้เลย
แต่...มันกลับตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรง แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แท็กซี่ 300 บาท ที่เยอรมันไม่มีทางได้!
เธอกับเพื่อนเรียกแท็กซี่เข้าเมือง ค่าโดยสารแค่ 300 กว่าบาท ซึ่งเธอถึงกับอึ้ง เพราะถ้าเป็นที่บ้านเกิด ต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 500-600 บาทแน่ ๆ แถมพอมาถึงโรงแรม พนักงานยังต้อนรับด้วยรอยยิ้ม + น้ำเย็น แบบไม่ได้ขอ
แมรี่พูดว่า “เหมือนเราไม่ได้มาเป็นแขก แต่มาเป็นเพื่อนที่เขารออยู่”
แค่นี้ก็ปลื้มไม่ไหวแล้วครับ
กินง่าย นอนง่าย เดินดูชีวิต
สองวันแรก เธอใช้เวลาแบบช้า ๆ กินข้าวไทยข้างโรงแรม เดินเล่นดูชีวิตคนริมถนน
ไม่มีแพลน ไม่มีตาราง เหมือนแค่มา "พักใจ"
และนี่แหละครับ จุดเริ่มต้นของทริปที่เธอบอกว่าจะไม่มีวันลืม
ลุยต่อ! มุ่งหน้าสู่เกาะพะงัน
หลังพักในเมืองหลวง 2 คืน แมรี่กับเพื่อนก็บึ่งต่อไปที่ เกาะพะงัน
ทันทีที่เรือเทียบท่า เธอบอกว่า "นี่มันคนละโลกกับกรุงเทพเลย!"
จากความวุ่นวาย มาสู่เกาะเล็ก ๆ ที่มีแค่ภูเขา ทะเล และเสียงลม
พวกเธอเช่ามอเตอร์ไซค์ทันที เพื่อขี่ลุยรอบเกาะ
ผ่านป่า ผ่านหมู่บ้าน และถนนเลียบทะเลที่ลมพัดแรงตลอดทาง
หาด muliboo ที่ทำเอาใจละลาย
ชายหาดแรกที่พวกเธอแวะคือหาด muliboo (ไม่รู้สะกดไงเหมือนกันแต่แมรี่เรียกแบบนี้)
แมรี่บอกว่านี่คือ หาดที่สวยที่สุดในชีวิต
-
ทรายขาวละเอียด
-
น้ำทะเลใสจนเห็นเงามะพร้าวสะท้อนบนผืนทราย
-
เสียงคลื่นที่กระทบฝั่งกับลมที่พัดผ่านผมเธอเบา ๆ
แค่นั่งพิงเป้บนผ้าเช็ดตัว ก็เหมือนเวลาในโลกหยุดนิ่ง
เธอพูดเบา ๆ ว่า
"บางทีความสุขมันก็ง่ายกว่าที่เราคิดนะ"
บอกตรง ๆ ฟังแล้วก็รู้สึกตามเลยครับ
อยู่พะงันไม่กี่วัน...แต่ขี่มอไซค์กันยันจบอาทิตย์
จากที่ตั้งใจแวะไม่กี่วัน สุดท้ายอยู่กันเกือบทั้งสัปดาห์
ทุกเช้าเริ่มที่รถมอไซค์ ขี่เลียบทะเลไปเรื่อย
แวะหาดเงียบ ๆ ที่ไม่มีนักท่องเที่ยว
นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ หัวเราะกับเรื่องงี่เง่า
อย่าง "คนหนึ่งขี่รถเกือบล้ม" หรือ "อีกคนบ่นว่าก้นชา"
มันเหมือนพวกเธอกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
มีแค่เสียงหัวเราะ ลมทะเล และความอิสระ
พีคสุดคือจุดชมวิวที่ต้องปีนขึ้นไปเอง
วันหนึ่งพวกเธอขี่รถขึ้นเขา แล้วเดินขึ้นไปต่อเพื่อไปจุดชมวิว
เหงื่อชุ่มตัว แต่พอถึงยอด ทุกอย่างคุ้มเลย
เบื้องหน้าคือทะเลสีฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา
เกาะเล็กเกาะน้อยเรียงตัวกันอยู่ใต้เท้า
ไม่มีใครพูดอะไร เงียบ...แค่ปล่อยให้ลมพัดหน้า กับเสียงหัวใจที่เต้นแรง
มันคือภาพที่ติดอยู่ในหัวแมรี่จนถึงวันนี้
ไฟหมุนริมทะเลบนเกาะเต่า ที่เธอบอกว่า “เหมือนฝัน”
หลังจากพะงัน แมรี่กับเพื่อนก็ล่องเรือไปที่ เกาะเต่า
ที่นี่เงียบกว่าพะงันอีกครับ
มีแต่ทะเลใส ป่าเขียว และที่พักเล็ก ๆ ติดชายหาด
แมรี่ชอบที่สุดคือเสียงคลื่นตอนกลางคืน
มันไม่ได้แค่ทำให้นอนหลับ แต่เหมือนเป็นเสียงที่ “กล่อมหัวใจ”
วันหนึ่ง พวกเธอเช่าเรือเล็ก พร้อมอุปกรณ์สน็อกเกิล ออกไปดำน้ำรอบเกาะ
แมรี่บอกว่า เธอแทบลืมหายใจ เมื่อเจอใต้ทะเลของเกาะเต่า
-
ปลาหลากสีว่ายผ่านหน้า
-
ปะการังยังสดและสวย
-
แสงแดดใต้น้ำเหมือนฉากหนังดี ๆ ที่ไม่มีวันลืม
ค่ำคืนสุดท้ายที่ไม่มีวันลืม
ตอนเย็นวันสุดท้ายที่เกาะเต่า
พวกเธอนั่งกินข้าวง่าย ๆ ริมชายหาด
ลมเย็นเบา ๆ คลอไปกับเสียงคลื่น
จากนั้นโชว์ ควงไฟ ก็เริ่มขึ้น
นักแสดงชาวไทยประมาณ 3-4 คนออกมาควงไฟกลางทะเล
เปลวไฟหมุนกลางอากาศ สะท้อนกับผิวน้ำเหมือนฉากในเทพนิยาย
แมรี่ถึงกับอ้าปากค้าง เธอพูดว่า
"นี่มันมหัศจรรย์มาก"
ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ว่าฝึกมากี่ปี แต่เธอรู้ว่า "หัวใจของพวกเขาอยู่ในเปลวไฟทุกลูก"
จบทริป แต่ภาพยังอยู่ในใจ
แมรี่บอกว่า เธออาจอธิบายไม่ได้หมดว่าเมืองไทยเป็นยังไง
แต่ถ้ามีใครถาม เธอจะยิ้มแล้วพูดว่า
"มันคือที่ที่ฉันอยากกลับมาอีกเสมอ"
อ่านแล้วเพื่อน ๆ ล่ะ รู้สึกยังไงกับเมืองไทยในมุมของคนต่างชาติ?
สำหรับแมรี่ การเดินทางแบบเรียบง่าย ไม่ต้องมีอะไรหรู
กลับทำให้เธอรู้จักตัวเอง และรู้สึกถึง "ความสุขจริง ๆ"
ถ้าใครเคยมีประสบการณ์ท่องเที่ยวแล้วได้มุมมองใหม่ในชีวิต ลองมาแชร์กันครับ!