หวานใจพี่รหัส ตอนที่ 1 การพบกัน

เด็กสาวหน้าใสแก้มป่องหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้าง ใบหน้านั้นอมยิ้มอย่างดีใจ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมของชีวิตนิสิตใหม่
เธออยากให้พี่ชายกับเพื่อนซี้ที่จากไปนานถึงหกปีได้เจอกันเสียที หลังจากวางแผนให้ทั้งคู่พบกันมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ เพราะพี่ชายตัวดีดันติดธุระ วันนี้ขอให้ทั้งคู่ได้เจอกันสักทีเถอะ เมื่อคนข้างตัวหันมามองจึงรีบหุบยิ้ม
“เป็นอะไร ! ยิ้มหน้าบานขนาดนี้” เขารู้สึกแปลกใจ ยัยน้องสาวตัวแสบ
“เปล่า…. แค่ดีใจที่จะได้เป็นนิสิตใหม่ และตื่นเต้นเฉย ๆ” นภาเฉไฉไปได้อย่างดูมีเหตุผล
“พี่ยนตร์รอตรงนี้นะ เดี๋ยวไปซื้อนมแป๊บนึง” เมื่อปลีกตัวออกมาได้ รีบโทรหาเพื่อนซี้ทันที น่าจะมาถึงสถานีรถไฟแล้ว กวาดสายตามองหาเพื่อนสาวไปพลางดูดนมถั่วเหลืองรสโกโก้ไปด้วย
“ปาร !” เสียงเพื่อนสาวคนสนิทตะโกนเรียก พลางโบกไม้โบกมือไปมา
“ว่าไงนภา ! ดีใจจังที่เจอเธอ” ปารรีบทักทาย แถมยิ้มดีใจจนตาหยี สาวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปหาพลางจับมือเพื่อนบีบไว้แน่น
“ท่านผู้โดยสารที่เดินทางไปกรุงเทพฯ รถเที่ยวล่องจากสถานีลาดกระบังกำลังจะเข้าสถานี ผู้มีตั๋วเดินทางเรียบร้อยแล้ว คอยที่ชานชาลาที่หนึ่ง ติดกับสถานีครับ” เสียงเจ้าหน้าที่รถไฟประกาศ
เสียงหวูดรถไฟดังใกล้เข้ามานภาจูงมือเพื่อนสาวเดินแทรกผู้คนที่ยืนรอรถไฟอยู่เต็มชานชาลาไปรอที่จุดนัดพบ เตรียมพร้อมที่จะขึ้นรถไฟ รถไฟขบวนยาวกำลังแล่นเข้ามาอยู่ไกลลิบ
“ปาร…เดี๋ยวเรามานะ” นภาปล่อยมือเพื่อนซี้ แล้วเดินหายตัวไปในกลุ่มคน เสียงเจ้าหน้าที่รถไฟประกาศเตือนผู้โดยสารที่เดินข้ามไปมาตามรางรถไฟ ทำให้ปารไม่ได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท นภาเดินไปหาพี่ชายที่จุดเดิม แต่ไม่พบ
“อ้าว ! หายไปไหนเนี่ย !” เด็กสาวทำหน้าตาเหมือนกำลังกินแห้ว จึงเดินกลับไปหาเพื่อน แต่ทว่ามองเห็นพี่ชายของเธอกำลังเดินเข้าไปหาปารเสียเอง
“ว้าว ! คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน” พลางหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ รอเวลาที่ทั้งคู่กำลังจะหันมาจ๊ะเอ๋กันด้วยใจจดจ่อ แต่ด้วยอาการดีใจจึงไม่ทันระวัง ! เหยียบเท้าใครคนหนึ่งเต็มแรง แถมเซไปกระแทกใครคนนั้นอย่างจัง !
นภารีบเงยหน้าขึ้นมอง พบสายตาของชายหนุ่มจ้องมองมาอย่างเขียวปัด อีกฝ่ายดึงหูฟังออกจากหูทั้งสองข้างอย่างหัวเสีย สองมือของเขากำลังประคองโทรศัพท์ราคาแพงไว้ในมือ
หลังจากที่มันเกือบจะหลุดมือเมื่อถูกกระแทก การที่เธอมาชนเขาทำให้เกมที่อุตส่าห์เก็บคะแนนมาอย่างยากลำบากจบลงต้องเริ่มต้นใหม่ แถมกล่องนมรสโกโก้ในมือของเธอยังหกใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาจนเปื้อน
“อุ๊ย ! ขอโทษด้วยค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ” เธอเกือบต้องมนตร์สะกดความหล่อของเขาเสียแล้ว ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดมา
“เดินยังไงไม่ดูทางเลย ดูซิ ! เสื้อเปื้อนหมดแล้ว ถ้ามือถือหล่นไปจะว่าไง” นรินทร์มองสภาพตัวเอง
“ถ้าคุณดูทางจะชนฉันได้ไงล่ะ เล่นเกมไม่รู้เวล่ำเวลาล่ะสิ” อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ แล้วรีบหันไปดูพี่ชายสุดที่รักและเพื่อนสนิท ไม่เห็นทั้งคู่ยืนอยู่ที่เดิม อะไรกันเนี่ย! หมอนี่ทำให้เธอพลาดเวลาสำคัญที่เฝ้ารอคอยมานานไปได้ยังไง! โธ่!
“ซวยแต่เช้าเลย !” เขาบ่นพลางส่ายหัว ถ้าไม่คิดว่าวันเปิดเทอมรถติดมากถึงมากที่สุด เขาไม่มีทางมาขึ้นรถไฟสับปะรังเคนี่หรอก
หนุ่มหล่อเดินหนี ไม่อยากเสียเวลากับเธอ ไม่งั้นเขาคงตกรถไฟแน่ เมื่อมองเห็นรถไฟแล่นเข้าสู่สถานี เสียงล้อและเครื่องจักรดังกระทบกันกับรางเหล็กเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แล้วลดความเร็วลง
“หน็อย !! ขอให้อย่าได้เจอกันอีกเลย” นภาทำหน้าย่นใส่หนุ่มหล่อมาดเนี้ยบ ก่อนจะรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟ มือหนึ่งก็รีบกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนและพี่ชายแต่ยังไม่มีใครรับสายสักคน ปลอบใจตัวเองว่าทั้งคู่คงได้ขึ้นรถไฟแล้ว คงจะมีแต่เธอคนเดียวที่กำลังจะตกรถไฟ
***************
ปารมองเห็นรถไฟกำลังเคลื่อนขบวนเข้าสถานีแล้ว
“ไปกันเถอะภา เราไปขึ้นโบกี้สุดท้ายกัน”
ปารคว้ามือใครคนหนึ่งแถวนั้นวิ่งไป
“วันนี้คนเยอะจังเนอะ” ปารหันไปพูดกับคนแปลกหน้า
สาวน้อยชะงัก
เขาไม่ใช่เพื่อนสาวของเธอ แต่กลับเป็นชายหนุ่ม ร่างสูงโปร่ง ทำให้เธอแทบจะต้องแหงนคอมองเขาทีเดียว มองมือตัวเองที่ยังจับมือของเขาอยู่แล้วตกใจรีบปล่อยมือของอีกฝ่ายทันที
“ขอโทษค่ะ เอ่อ…นึกว่า...เพื่อน เมื่อกี้ยังยืนอยู่ตรงนี้เลย” ปารทำหน้าเงอะงะ หันซ้ายหันขวามองหาเพื่อนสาวที่อยู่ ๆ ก็หายตัวไป รู้สึกอับอายเหลือเกินแต่ไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่าการขอโทษเขา
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่จริงเขาอยากจะหัวเราะในท่าทีเก้อเขินของเธอมากกว่า แต่ยังรู้สึกเกรงใจสาวน้อยที่ยืนตรงหน้าอยู่มาก เขาขยับแว่นสีชาให้กระชับ
“ไม่เป็นไรครับ รีบไปขึ้นรถไฟกันเถอะ วันนี้คนเยอะน่าดูเลย”
เขามองตามร่างเล็กของเด็กสาวที่เดินนำอยู่ข้างหน้าอย่างรู้สึกแปลกใจ เหมือนเคยรู้จักเธอมาก่อน เหมือนคุ้นเคยกันมานาน ความรู้สึกบอกเขาอย่างนั้น ก่อนจะหันไปมองหาแม่น้องสาวตัวดีที่หายตัวไป แล้วรีบโทรหาแต่ไม่มีคนรับสาย ให้มันได้อย่างนี้สิ!
รถไฟแน่นขนัดเนื่องจากเป็นวันเปิดเทอมใหม่ เขาและเธอโหนต่องแต่งอยู่ที่บันไดของรถไฟขั้นสุดท้าย
เขาพยายามขยับตัวให้ห่างจากร่างเล็กบอบบางของสาวน้อยตรงหน้า ซึ่งกำลังยืนเบียดตัวเองกับผนังของประตูรถไฟนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเอาตัวเองกันเธอจากผู้ชายคนอื่น ๆ ที่ยืนเบียดกันอยู่ตรงประตูรถไฟเช่นกัน
ปารยืนเกร็งตัวแข็งทื่อ เพราะรู้ว่าคนที่ยืนประชิดตัวอยู่ขณะนี้เป็นชายหนุ่ม ถึงเขาจะดูดี หล่อแค่ไหนก็ตาม คนอย่างเธอไม่มีทางยอมให้หนุ่มหน้าไหนมาถูกเนื้อต้องตัวเธอได้ง่าย ๆ
เด็กสาวพยายามขยับกระเป๋าถุงผ้าใส่หนังสือที่คล้องกับหัวไหล่ไปข้างหลังให้มากสุด เพื่อกันระหว่างเขาและเธอไม่ให้สัมผัสโดนกันมากจนเกินไป ได้ยินเสียงลมหายใจของเขาอยู่ใกล้มาก แทบไม่กล้ากระดุกกระดิก รู้สึกอึดอัด แม้จะสัมผัสได้ว่าเขาเองก็ให้เกียรติ เป็นสุภาพบุรุษและไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ล่วงเกินเธอเลย บางครั้งที่รถไฟเหวี่ยงไปมาจนเขาเซมาโดนเธออย่างจัง เพราะคนข้างหลังนั้นเซมากระแทกอีกทีหนึ่ง จะได้ยินคำขอโทษจากเขาทันที มือของชายหนุ่มจับขอบประตูรถไฟไว้ เพื่อกันเธอไม่ให้พลัดตกออกนอกตัวรถไฟ
สาวน้อยรู้สึกสะดุดตาใบหน้าของเขา เหมือนเคยเห็นที่ไหนนานมาแล้ว เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน เหมือนคุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน แต่ก็เลิกสนใจ อดกังวลเป็นห่วงเพื่อนสาวไม่ได้ ไม่รู้จะตกรถไฟหรือเปล่า ? อยู่ดี ๆ หายตัวไปไหน เนี่ย !
*****************
เมื่อนภาจะก้าวเท้าขึ้นรถไฟก็เจอหนุ่มหล่อที่เพิ่งมีเรื่องยืนอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายของทางขึ้นลงรถไฟ เธอจึงรีบวิ่งไปขึ้นโบกี้อื่น แต่โบกี้ไหนมันก็เต็มหมดแล้ว ที่สำคัญรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวและเพิ่มความเร็ว จึงจำใจวิ่งกลับไปขึ้นโบกี้เดียวกันกับเขา
หนุ่มหล่อมองเห็นแม่ตัวแสบวิ่งหน้าตั้งกลับมา จะแกล้งให้เธอตกรถไฟก็กระไรอยู่ เขาไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวเพื่อให้เธอขึ้นได้โดยง่าย แต่คนยืนข้างตัวกลับขยับตัวมาเบียดเขาเพื่อให้เธอขึ้นมา ก่อนแทรกตัวเข้าไปด้านในของตู้โดยสารเพื่อให้เด็กสาวยืนได้สะดวก
นภาตัดสินใจกระโดดขึ้นรถไฟทันที และไม่สนว่าเขาจะยืนเกะกะขวางทางอยู่หรือไม่ แรงโถมตัวกระโดดขึ้นรถไฟเต็มแรงนั้น ทำให้เหยียบเท้านรินทร์เข้าเต็ม ๆ หน้าผากเธอพุ่งชนกับแผ่นอกของเขาอย่างจัง ก่อนจะรีบถอยตัวออกมาอย่างด่วนจี๋
เธออยากจะบ้าตาย ! ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้ามองเขาในระยะประชิดตัวเช่นนี้ แล้วรีบหันตัวไปอีกด้านทันที หันกระเป๋าถุงผ้าใบโตมากันระหว่างชายหนุ่มเอาไว้ นภายืนหอบแฮก ๆ อยู่นานอย่างเหน็ดเหนื่อย มือจับขอบประตูรถไฟแน่น
‘คนอะไร ! สมน้ำหน้า อยากไม่ยอมขยับเอง’ เด็กสาวบ่นอยู่ในใจ
นรินทร์มองยัยตัวแสบที่ทำไม่รู้ไม่ชี้หันหน้าไปทางอื่น เหยียบเท้าเขาขนาดนี้ไม่มีขอโทษสักคำ ช่างไร้มารยาทสิ้นดี! แถมยังเอาถุงผ้ามากระแทกอกเขาอีก ได้แต่กัดฟันกรอดหันหน้าไปทางอื่นอย่างหัวเสีย
พอลงจากรถไฟนภารีบโทรหาเพื่อนสาวทันที ระหว่างรอปารเดินมาหา เธอโทรหาพี่ชาย แต่ไม่เข้าใจทำไมสายไม่ว่างตลอด หรือว่ามีธุระด่วนอีกแล้ว เฮ้อ...อดถอนหายใจไม่ได้ การจะให้พี่ชายได้เจอกับเพื่อนซี้ของเธอ ทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้นะ
“ภาหายไปไหนมา” ปารยิงคำถามคาใจทันทีที่เจอหน้า
“อ๋อ…ฉันไปเดินหาพี่ยนตร์น่ะ จำได้ไหม พี่ชายเราไง แต่หาไม่เจอ เขาบอกว่าจะมาเจอกันที่สถานีรถไฟ” เธอพูดถึงพี่ชายที่สอบได้ทุนไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ และเพิ่งกลับมาเรียนต่อที่เมืองไทยได้หนึ่งปี
ปารนิ่งไปครู่หนึ่ง ‘พี่ยนตร์’ เป็นชื่อที่เธอไม่เคยลืม แม้ว่าจะเลือนลางไปบ้างก็ตาม แต่เมื่อได้ยินชื่อนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับเขาก็ชัดเจนขึ้นมาในสมองทันที ราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้เจอ และไม่ได้ติดต่อกับเขาเลยมานานถึงหกปีเต็ม หลังจากที่เขาถูกส่งไปเรียนต่อ ม.ปลาย ที่กรุงเทพฯ
“รู้มั้ย ? ว่าปารนะหน้าแตกเลย คว้ามือใครไม่รู้ไปขึ้นรถไฟอะดิ” เธอพูดพลางทำหน้าย่น
“เหรอ…แล้วจับมือใครไปขึ้นรถไฟล่ะ” เพื่อนสาวทำหน้าสนใจ
“ผู้ชายนะสิ ! ตัวสูงยังกะเสาไฟฟ้าเลย” แล้วเงยหน้าขึ้นสูงประกอบคำสนทนา
“แหม…ว่าเค้า แล้วหล่อหรือเปล่า นภาพูดพร้อมกับหัวเราะคิก
“บ้า ! อายจะตาย ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ไม่กล้ามองหน้าเขาหรอก แต่แปลกมากเลย คุ้น ๆ หน้าเขายังไงก็ไม่รู้”
“เหรอ…” นภาลากเสียงยาวกวนประสาทแบบมีเลศนัย
“ล้อเราเหรอ…” ปารฟาดฝ่ามือไปหวดต้นแขนเพื่อนเข้าให้ แต่เพื่อนสาวโดดหลบอย่างรู้ทัน
“แล้วหนุ่มคนนั้นหน้าตาเป็นไง ใส่แว่นไหม หรือยังไง” นภาพยายามถามลักษณะของชายคนนั้น อยากรู้ว่าจะใช่พี่ชายของเธอหรือเปล่า ?
“จำไม่ได้แล้ว ไปเดินดูซุ้มรับน้องกันดีกว่า ว่าแต่ละคณะเป็นยังไงบ้าง คณะครุศาสตร์อยู่ตรงไหนน้า...” ปารรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะโดนเพื่อนซักไซร้มากกว่านี้
ทั้งคู่เดินเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัย บรรยากาศเต็มไปด้วยความสดใส ซุ้มรับน้องคณะต่าง ๆ ประดับประดาอย่างสวยงาม ทั้งลูกโป่งสีสวย กระดาษสะท้อนแสง ประดับประดาหลากหลายรูปแบบ รุ่นพี่ที่มาคอยต้อนรับน้อง ๆ ก็เต็มที่ เสียงกลองดังกระหึ่ม มีเกมและกิจกรรมให้เล่นมากมาย เสียงรุ่นพี่รุ่นน้องดังเซ็งแซ่ไปหมด มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่รอบตัว
“เจอแล้วภา คณะครุศาสตร์” ปารตะโกนเมื่อมองเห็นรุ่นพี่คณะครุศาสตร์กำลังประกาศเรียกน้อง ๆ ผ่านโทรโข่งเข้าซุ้มกิจกรรม
นภาหันไปมองตามเพื่อน เสียงจากโทรโข่งกำลังเรียกรุ่นน้องให้ลงทะเบียนก่อน สายตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นหนุ่มหล่อที่เธอเพิ่งมีเรื่องกับเขาเมื่อเช้านี้ ซึ่งกำลังแจกหมวกกระดาษแข็งให้น้อง ๆ ไว้ใส่กันแดดยามสาย
“ตายล่ะ! เขาเป็นรุ่นพี่อยู่คณะนี้ด้วยเหรอเนี่ย?” เธออุทานเบา ๆ อย่างตกใจ นภาพยายามก้มหน้าก้มตาแอบอยู่ข้างหลังเพื่อน รีบหันซ้ายหันขวาหาที่หลบ แต่ยังหาไม่ได้ หนุ่มหล่อกำลังเดินตรงมา
‘เฮ้ย ! ทำไมต้องเดินมาทางนี้ด้วยวะ !’
ปารหันมามองเพื่อนสาวที่ดูท่าทางแปลก ๆ ดูลุกลี้ลุกลนชอบกล
“ภา เป็นไร”
*************













