ไทยเร่งขึ้นทะเบียน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่เก่าแก่กว่านครวัด ทำเขมรเครมยากขึ้น
ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการเร่งเสนอขึ้นทะเบียน “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นมรดกโลก โดยได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะพุทธสถานที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี ซึ่งนับว่าเก่าแก่กว่านครวัดในประเทศกัมพูชา โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของวัดแห่งนี้ โดยเฉพาะ “เจดีย์ทรงระฆัง” ที่ถือว่าเป็นรูปแบบดั้งเดิมและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย สะท้อนรากฐานทางพุทธศิลป์ที่ฝังรากลึกอยู่ในผืนแผ่นดินไทยมาอย่างยาวนาน
การเสนอขึ้นทะเบียนวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์และยกระดับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาติ แต่ยังสะท้อนเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมที่แท้จริงจากการกล่าวอ้างและการลอกเลียนแบบจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในกรณีของกัมพูชา ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีความพยายาม “เคลม” อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นชุดไทย นาฏศิลป์ไทย ดนตรีไทย ไปจนถึงสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา
ทั้งนี้ แม้ประเทศไทยจะมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมาแล้ว อาทิ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร รวมถึงนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งสะท้อนอิทธิพลของงานสถาปัตยกรรมไทยที่แพร่หลายในภูมิภาค แต่กลับพบว่า ยังมีความเข้าใจผิด (หรือเจตนา) จากบางประเทศที่อ้างว่า งานศิลปกรรมหรือสถาปัตยกรรมไทยมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมของตนเอง
ในความเป็นจริง วัฒนธรรมและศิลปะเขมรจำนวนมากได้รับอิทธิพลจากประเทศไทย โดยเฉพาะในยุคก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส การสร้างพุทธสถานในรูปแบบขอมบนพื้นที่เดิมของไทยที่ถูกครอบครองในอดีต ทำให้เกิดความสับสนทางประวัติศาสตร์ที่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมของบางประเทศ
การที่ไทยสามารถขึ้นทะเบียน “เมืองโบราณศรีเทพ” ได้เมื่อไม่นานนี้ ยิ่งช่วยยืนยันถึงความเก่าแก่ของชนชาติไทยตั้งแต่ยุคทวารวดี ซึ่งเป็นยุคที่มีมาก่อนอาณาจักรนครวัด ดังนั้น การเร่งขึ้นทะเบียนวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารในฐานะมรดกโลกจึงเปรียบเสมือนการย้ำจุดยืนของไทยในการรักษาอัตลักษณ์แห่งพุทธศิลป์และศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรมอย่างมั่นคง
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จึงไม่ใช่เพียงวัดเก่าแก่ในภาคใต้ หากแต่เป็นหลักฐานแห่งรากเหง้าทางอารยธรรมที่ควรได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติ เพื่อปกป้องจากการถูกบิดเบือนและเคลมไปอย่างไม่เหมาะสมในอนาคต




