เงินเฟ้อคาดการณ์ วัดจากอะไร สำคัญขนาดไหน ?
ความผันผวนของตลาดทุนทั่วโลกในช่วงนี้
สาเหตุหนึ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยก็คือความกังวลของนักลงทุน
ที่มองว่า “เงินเฟ้อ” จะปรับเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป
ซึ่งก็เป็นเพราะเม็ดเงินมหาศาล ที่ทั้งรัฐบาลและธนาคารกลาง
ใช้รับมือกับสถานการณ์โควิด 19 รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกือบทุกชนิด
ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบหลายปี
แล้วมุมมองอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ของนักลงทุนในตลาด
วัดได้จากอะไร และทำไมถึงมีความสำคัญ ?
อัตราเงินเฟ้อที่รายงานจากหน่วยงานรัฐ เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงไปแล้ว
ซึ่งการตีความข้อมูลนั้น ก็มักจะถูกนำไปเทียบกับตัวเลข
ที่นักเศรษฐศาสตร์ได้ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่า
ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาจริง สูงกว่า ต่ำกว่า หรือใกล้เคียงกับการคาดการณ์ขนาดไหน
เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริการายงานเงินเฟ้อในเดือนเมษายน 4.2%
เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนของปีก่อนหน้า
นักลงทุนก็จะนำไปเปรียบเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ
ที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 3.6%
จากข้อมูลชุดนี้ เมื่ออัตราเงินเฟ้อที่เกิดจริง ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์
มันจึงเป็นการตอกย้ำความกังวลของนักลงทุนว่าเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นเร็วกว่า
ที่นักเศรษฐศาสตร์รวมถึงธนาคารกลางเคยประเมินไว้
จนอาจนำไปสู่การเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วกว่าเดิม
ซึ่งมุมมองต่ออัตราเงินเฟ้อในอนาคตของนักลงทุนนี้
มีชื่อเรียกว่า “Inflation Expectation” หรืออัตราเงินเฟ้อคาดการณ์
เมื่อมันเป็นเพียง “มุมมอง”
จึงไม่มีใครรู้ว่าจะถูกหรือผิด
และแม้ว่าไม่มีถูกผิด แต่มุมมองนี้กลับมีความสำคัญ
อย่างธนาคารกลาง ผู้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อก็ให้ความสนใจกับมุมมองนี้
เพราะอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริง ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากสิ่งที่ผู้คนคิดว่ามันจะเป็น
ยกตัวอย่างเช่น
มีข่าวว่าน้ำมันปาล์มกำลังขาดตลาดและจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้น
ดังนั้น ธุรกิจที่มีวัตถุดิบเป็นน้ำมันปาล์มต่างก็ต้องรีบไปซื้อน้ำมันปาล์มมาเก็บไว้
และนั่นจะทำให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น
สะท้อนให้เห็นว่า มุมมองของผู้คนที่มีต่อราคาสินค้าในอนาคต
จะส่งผลต่อเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันในที่สุด
นอกจากผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงแล้ว
มุมมองอัตราเงินเฟ้อนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของความผันผวนในตลาดทุนได้อีกด้วย
อย่างเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับแรงขาย โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
อย่างเช่นดัชนี Nasdaq ของสหรัฐอเมริกา
ที่ปรับตัวลง 10% ภายในเดือนเดียว
ในขณะที่ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี
ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลับไปสู่ระดับเดิมก่อนเกิดโรคระบาด
ซึ่งความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้
ก็เป็นผลมาจากการที่นักลงทุน ปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ใหม่
เพราะมองว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะเพิ่มได้เร็วขึ้นและสูงขึ้นไปสู่ระดับที่สูงสุดในรอบ 7 ปี
แล้วมุมมองต่ออัตราเงินเฟ้อในอนาคต ดูได้จากอะไร ?
วิธีการวัดเงินเฟ้อคาดการณ์นี้
นอกจากจะสามารถวัดได้จากการทำแบบสอบถามแล้ว
อีกทางหนึ่งที่สะดวกกว่า ก็คือดูได้จากเครื่องมือทางการเงินที่เชื่อมโยงกับอัตราเงินเฟ้อ
โดยแบบที่คนนิยมใช้กันมากที่สุด มีชื่อเรียกว่า “10-Year Breakeven Inflation Rate”
10-Year Breakeven Inflation Rate เป็นตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ
ที่สะท้อนจากนักลงทุนว่ามองอัตราเงินเฟ้อในอนาคตอย่างไร
โดยคำนวณมาจาก
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี หักลบด้วย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี รุ่นชดเชยเงินเฟ้อ หรือ Treasury Inflation-Protected Security เรียกสั้น ๆ ว่า TIPS
โดยอัตราผลตอบแทนแบบแรก เป็นแบบทั่วไป คือ Nominal Yield
ส่วนอัตราผลตอบแทนแบบหลัง เป็นแบบหักผลจากเงินเฟ้อออกไปแล้ว คือ Real Yield
ซึ่งก็เป็นคอนเซปต์เดียวกับเรื่อง อัตราเงินเฟ้อ = Nominal Yield - Real Yield นั่นเอง
เนื่องจากอัตราผลตอบแทนทั้ง 2 แบบ เปลี่ยนแปลงไปตามการซื้อขายของนักลงทุน
อัตราเงินเฟ้อที่ได้ จึงสะท้อนอัตราเงินเฟ้อจากมุมมองของนักลงทุน นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม มุมมองเหล่านี้ก็มีความผันผวน
และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข่าวสารหรือข้อมูลใหม่
อย่างเช่น จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
จากรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด
หรือแม้แต่จากการสื่อสารของธนาคารกลาง











