รีวิวหนังดัง MICKEY 17 (มิกกี้ 17)
เมื่อคุณเบื่อชีวิตบนโลกจนถึงขีดสุด สังคมบนโลกไม่น่าจะดีไปกว่าเดิมได้ การไปใช้ชีวิตในอวกาศจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่มีข้อแม้...การจะไปอวกาศแบบไม่มีค่าใช้จ่ายจะต้องเป็นอาสาสมัครในการทดลอง นั่นคือการเป็นมนุษย์ใช้แล้วทิ้ง (Expendables)
ทุกๆการทดลองจะนำไปสู่การตาย แล้วจากนั้นก็ Reprint ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ เพื่อนำมาใช้กับการทดลองตัวถัดไปวนเวียนแบบนี้ไม่รู้จบ การตายแต่ละครั้งบอกเลยว่าโคตรทรมาน
ผลงานการกำกับด้วยแนวคิดเสียดสีสังคมสุดเทพโดย พงจุนโฮ (Bong Joon Ho) ที่สร้างผลงานระดับออสการ์อย่าง Parasite (2019) ชนชั้นปรสิต ดัดแปลงจากนิยาย Sci Fi ของ Edward Ashton เรื่อง MICKEY 7
เรื่องย่อ
Mickey Barnes กับ Timo เผชิญกับเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบสุดโหด เพราะเขาทั้งสองกู้เงินมาเปิดร้านขนม แต่เจ๊ง เขากำลังจะถูกเลื่อยหั่นทั้งเป็น จึงต้องหนีไปนอกโลก โดย Timo ได้เป็นคนขับรถตัก ส่วน Mickey ได้เป็นอาสาสมัครมนุษย์ใช้แล้วทิ้ง (Expendables) เพราะเขาไม่มีวุฒิบัตรหรือทักษะความสามารถทำงานเฉพาะทางเลย
ที่นั่นไม่มีใครใส่ใจเขามากนัก มนุษย์ใช้แล้วทิ้งตายได้ทุกเมื่อ..จากการทดลองแต่ละครั้ง โชคดีที่เขาได้เจอ Nasha เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยผิวสีที่หลงรักเขา แม้เขาจะถูก Print ร่างใหม่ ตายแล้วเกิดมา 17 ครั้งก็ตาม
บนยานอวกาศปกครองโดยนักการเมืองอย่าง Kenneth Marshall พร้อมกับภรรยาอย่าง Yifa บนนั้นเต็มไปด้วยสาวกของ Marshall เต็มไปหมด เป้าหมายของ Marshall คือการตั้งอาณานิคมบนดาว Niflheim
เมื่อมาถึง Niflheim ก็ส่ง Mickey 17 ไปทำงานตามปกติบนพื้นที่เยือกแข็ง แต่แล้วเขาก็พบตัว The Creeper สัตว์ประหลาดประจำถิ่นบนดาวนี้ เขารอดกลับฐานได้ตามปกติ แต่ที่นั่นเขาเจอกับ Mickey 18 เพราะเข้าใจว่าคนที่ 17 ได้ตายไปแล้ว กฎเหล็กข้อหนึ่งที่น่ากลัวคือมนุษย์ใช้แล้วทิ้ง หากผิดพลาดที่มีหลายร่าง จะแก้ไขด้วยการกำจัดทั้งหมดทุกคนไม่ให้เกิดในร่างใหม่ได้อีก
Mickey 17 เป็นคนรักสันติ ขี้กลัว ซื่อ โดนเอาเปรียบง่าย แต่ Mickey 18 เป็นคนระห่ำเดือดเลือดร้อน แอบโรคจิตนิดๆ ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้น
นักแสดงนำ
- Robert Pattinson รับบทเป็น Mickey Barnes
- Naomi Ackie รับบทเป็น Nasha
- Steven Yeun รับบทเป็น Timo
- Mark Ruffalo รับบทเป็น Kenneth Marshall
- Toni Collette รับบทเป็น Yifa
- Anamaria Vartolomei รับบทเป็น Kai Katz
- Patsy Ferran รับบทเป็น Dorothy
- Holliday Grainger รับบทเป็น Red hair
ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์
1.การดำเนินเรื่องหลงทางในแบบที่ไม่รู้ว่าหนังมีแก่นเรื่องหลักอยู่ตรงไหน กลายเป็นการโฟกัสเรื่องระหว่างทางเสียมากกว่า
เช่น ความเป็นนักการเมืองเห็นแก่ตัวและปกครองเอาแต่ใจอย่าง Kenneth Marshall ปมเรื่องความเป็นมนุษย์ของ Mickey ที่ถูกละเลย ไม่ได้เอาใจใส่จากสังคมเท่าที่ควร ความรักของ Mickey ที่ดูจะวุ่นวายเพราะมี Mickey 18 เพื่อนชั่วอย่าง Timo ที่เอาตัวรอดแล้วชักนำให้ Mickey รับเคราะห์แทน เป็นต้น
มันสอดไส้ปมสนุกนะ แต่แก่นหลักของเรื่องมันหายไป
2.เมื่อปมเรื่องหลักเจือจาง ขาดประเด็นหลักให้ติดตาม ทำให้ขาดภาพจำต่อหนังไปโดยปริยาย แม้ว่ามุกการทำหนังแบบนี้จะได้ผลในสมัยก่อน เช่น Carlito's Way (1993), SCARFACE (1983) แต่มันอาจไม่ถูกใจคนสมัยนี้แล้วก็ได้ เพราะประเด็นหลักไม่มี แต่ประเด็นย่อยทำได้สนุกถึงใจ ส่วนตรงนี้อาจทำให้มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ หนังจึงไม่ทำเงินเท่าที่ควร
3.ในส่วนปลีกย่อยที่บอกว่าทำได้ดี เพราะมันมีเรื่องของความเป็นมนุษย์ การกระทำที่มีสาเหตุแล้วส่งผลที่เสียหายตามมา แล้วต้องยอมรับผลของมัน อย่างการที่ Mickey มาบนยานลำนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี และการพยายามฆ่าท่านผู้นำ Marshall โดย Mickey 18 ก็เป็นตัวอย่างที่ดี
4.ฉาก Love screen ก็ไม่เย้ายวนเท่า PARASITE (2019) หรือจะเรียกว่า PARASITE เหนือกว่าในทุกๆทาง ทั้งปมเรื่องหลักและประเด็นความรู้สึกของคน มันผสมอยู่ในเรื่องราวในตัวของมันเองแล้ว
5.Robert Pattinson พิสูจน์การแสดงให้เห็นถึงการรับบทที่หลากหลาย และ Mickey 17 ก็คือหนึ่งในนั้น มันทำให้เราเห็นแล้วว่าเขารับบทได้ทุกรูปแบบ ถึงขนาดที่คนอื่นๆแย่งซีนไปจากเขาไม่ได้เลย
6.ส่วนนักแสดงตัวประกอบที่ครีเอเตอร์ชื่นชอบก็มีทั้ง Patsy Ferran รับบทเป็น Dorothy นักวิจัยที่ดูจะใส่ใจ Mickey มากกว่าคนอื่นๆรวมทั้งบุคลิกภาพที่ดูสดใสกว่าวัยไปเยอะเลย
Anamaria Vartolomiei รับบทเป็น Kai Katz หญิงสาวคนสวยเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยที่มีทักษะเหมือนอย่าง Nasha ก็เป็นอีกคนที่หวังใจจะอยู่กินกับ Mickey เธอไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไร แต่ฝากความรู้สึกน่ารักให้กับคนดูไปได้ไม่น้อย
ปิดท้ายด้วย Holiday Grainger ในบทพนักงานต้อนรับปฐมนิเทศสู่การเป็นมนุษย์ใช้แล้วทิ้งก็มีออร่าให้น่าจดจำไม่น้อยเลย
7.ถ้าจะเทียบกับเรื่อง PARASITE ต้องยอมรับว่าห่างชั้นกันอยู่มาก การคาดหวังให้ MICKEY 17 ไปถึงระดับเดียวกันนั้น...คงไม่ใช่ อีกอย่าง tralier ตัวอย่างภาพยนตร์ให้ความรู้สึก comedy สบายๆ แต่พอมาดูหนังจริงๆ กลับไม่ใช่ Dark comedy ด้วยซ้ำ เหมือน Drama เจ็บลึกสไตล์ บง จุน โฮ มากกว่า ทำให้ความคาดหวังกับความเป็นจริงที่ได้...ไม่ตรงปก




















