รีวิวหนังดัง THE BOURNE ULTIMATUM ปิดเกมล่าจารชน คนอันตราย
แม้ว่าปมทั้งหลายเกี่ยวกับ Bourne ในสองภาคก่อนหน้าจะคลี่คลายและกระจ่างชัดมากขึ้นแล้ว เขาพยายามย้อนรอยอดีตของตัวเองโดยไม่ทำร้ายใครหากไม่จำเป็น แต่บางสิ่งกลับยังคงหลงเหลืออยู่ นั่นคือ ความหวาดระแวงในตัว Bourne สายลับที่ตามจับตัวได้ยากที่สุดคนหนึ่ง
ผลงานการกำกับโดย Paul Greengrass เช่นเคย และครั้งนี้จะเป็นการยกระดับแฟรนไชส์ Bourne ขึ้นไปอีกขั้นกับความมันที่มากกว่าเคย
เรื่องย่อ
CIA ยังคงระแวงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Bourne อาจทำให้ CIA เสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้ง Bourne เป็นตัวอันตราย คาดเดาไม่ได้ การติดตามหาตัวเขาจึงยังคงดำเนินต่อไปตามคำสั่งของ Ezra Krammer
ขณะเดียวกันนักข่าวอย่าง Simon Ross ที่รู้เบาะแสของโครงการ Blackbriar และตั้งใจจะเขียนลงข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ก็ถูก CIA สั่งเก็บ แม้ Bourne จะพยายามหาทางช่วยเหลือแล้วก็ตาม และนี่ก็ทำให้การไล่ล่าอุบัติขึ้นอีกครั้ง
Noah Vosen นำทีมตามล่าตัว Bourne พร้อมกับ Pamela Landy ในการช่วยติดตามอีกแรง แม้ทั้งคู่จะไม่ลงรอยกัน
Bourne สงสัยในอดีตของตัวเองสมัยที่เขาเริ่มต้นโครงการสายลับ บัดนี้ คนพวกนั้นกลับต้องการเก็บเขาเพื่อไม่ให้เรื่องฉาวโฉ่ย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาเสียเอง และนั่นก็ทำให้ Bourne ได้พบกับ Nicky Parson ที่คอยช่วยเหลือในการตามหาเบาะแสเกี่ยวกับคนใน CIA
นักแสดงนำ
- Matt Damon รับบทเป็น Jason Bourne
- Joan Allen รับบทเป็น Pam Landy
- David Strathairn รับบทเป็น Noah Vosen
- Julia Stiles รับบทเป็น Nicky Parsons
- Scott Glenn รับบทเป็น Ezra Kramer
- Paddy Considine รับบทเป็น Simon Ross
- Albert Finney รับบทเป็น Albert Hirsch
- Edgar Ramírez รับบทเป็น Paz
ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์
1.การไล่ล่าในภาค 3 จะเป็นการพิสูจน์ความจริงที่ Bourne ไม่ได้เจตนาร้ายต่อ CIA แต่ผู้ใหญ่หลายภาคส่วนกลับพยายามฆ่าเขา เพื่อปกปิดเรื่องชั่วร้ายของโครงการ Treadstone แก่นเรื่องคล้ายภาคสองอยู่มาก แต่ความระทึก ความเป็นทริลเลอร์ ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาคสองเลย
2.การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ Bourne เป็นอะไรที่โคตรสะใจและรู้สึกว่าการเอาตัวรอดแบบนี้ มันเป็นไปได้ อยู่ที่ไหนก็รอด ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ (แต่ไม่มีความสุข เพราะถูกสายลับหน้าใหม่ตามล่าอยู่ทุกวัน) ไตรภาคสุดท้ายนี้จึงเป็นบทสรุปของนวนิยายของ Robert Ludlum ที่เรารอคอยว่าข้อยุติจะลงเอยไปที่จุดไหน
3.คิวบู๊การต่อสู้ประชิดตัวมันสะใจเหมือนอย่างเคย หนังรอเวลาปะทุความเดือดหลังจากเคร่งเครียดในการไล่ตามล่ามานาน เมื่อถึงเวลาปล่อยของก็สามารถทำถึง เหมือนพาคนดูได้ปลดปล่อยจากความตึงเครียดมานาน แม้ว่ามันจะคล้ายกับภาคสองอยู่บ้าง แต่ภาคที่สามนั้น สำหรับครีเอเตอร์รู้สึกว่ามันยังมีดีในแบบของตัวเอง
4.คนที่หวังฉาก Action ที่มากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ อันนี้ก็จะสมหวังได้อยู่บ้าง แต่ถ้าหวังจะให้ต่อสู้แบบ Non stop อันนี้คงจะคาดหวังจากหนังผิดเรื่อง ธรรมชาติของ Bourne เป็นหนังสายลับที่มีชั้นเชิงในแง่ของการเล่นกับความเป็นจริงของ CIA และการชิงไหวชิงพริบจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หลายประเทศเข้าด้วยกัน นี่จึงเป็นส่วนผสมที่หนังสายลับเรื่องอื่นเลียนแบบได้ยาก
5.Joan Allen ในบท Pamela Landy ยังคงโดดเด่นเช่นเคย และสร้างภาพจำให้กับคนดูได้ไม่น้อย ส่วนตัวร้ายประจำภาคนี้ยกให้กับ David Strathairn ในบท Noah Vosen หัวหน้าภาคปฏิบัติการออกไล่ล่า Jason Bourne ก็เป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่งที่คนดูรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว
6.ส่วนตัวครีเอเตอร์อยากให้มีภาคต่อมากกว่านี้อีก แม้ต้นฉบับนวนิยายจะมีแค่ 3 ภาคก็จริง และหนังก็มีการเขียนบทสานต่อเรื่องราวไปถึงภาค 5 แล้ว แต่ก็ยังหวังถึงนักเขียนรุ่นใหม่จะสามารถดึงเอาตัวตนของ Bourne ต่อกรกับโลกยุคใหม่ การดิ้นรนแบบใหม่ภายใต้ Concept เดิม แม้นักแสดงอย่าง Matt Damon จะอายุมากขึ้นทุกวัน แต่นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อยากให้ภาคต่อเกิดขึ้นในเร็ววัน















