ยารักษาโรค ที่ค้นพบโดยความบังเอิญ เรื่องราวของความบังเอิญ ที่นำไปสู่การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่
โรคมาลาเรีย - ต้นซิงโคนา
ต้นซิงโคนา คือ พืชพื้นเมืองในแถบเทือกเขาแอนดีสของทวีปอเมริกาใต้ที่ใช้บำบัดโรค นิทานพื้นบ้านเล่าว่าครั้งหนึ่งมีชาวพื้นเมืองอเมริกาใต้แถบแอนดีสเกิดป่วยจากโรคมาลาเรียขณะที่เขาหลงอยู่ในป่า เขาต้องทนกับไข้ขึ้นสูงและพยายามหาน้ำดื่มเพื่อดับกระหาย โดยการดื่มน้ำจากบ่อน้ำใต้ต้นซิงโคนา เขาคิดว่าน้ำที่ขมจากบ่อคงจะทำให้เขาป่วยมากขึ้น แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น การดื่มน้ำจากบ่อน้ำใต้ต้นซิงโคนาทำให้เขาหายจากไข้เป็นปลิดทิ้ง
ยาปฏิชีวนะ – เพนิซิลลิน
ในปีค.ศ. 1928 เฟลมมิ่งกลับจากวันหยุดยาว 2 อาทิตย์ เขาพบว่า เขาลืมทิ้งจานเพาะเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้ปิดฝา
ระหว่างที่เขาไม่อยู่ เชื้อราได้ปรากฎบนจานเพาะเชื้อไม่เพียงแค่นั้น เขาพบว่า ราที่ว่าได้สร้างวงแหวนต้านแบคทีเรียไว้อีกด้วย
เมื่อเฟลมมิ่งวิเคราะห์ดูอย่างละเอียด พบว่า มีเชื้อราชนิดหนึ่งที่ฆ่าแบคทีเรียบนจากเพาะเชื้อได้ เขาตั้งชื่อสารออกฤทธิ์ของมันว่าเพนิซิลลิน (penicillin) และทำให้เฟลมมิ่งมีชื่อว่าเป็นผู้สร้างยาปฏิชีวนะอันแรกในประวัติศาสตร์
มะเร็ง - คีโมบำบัด
แก๊สมัสตาร์ดถือเป็นหนึ่งในอาวุธอันโหดร้ายที่ถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และถูกแบนในช่วงปีค.ศ. 1920 เนื่องจากเป็นอาวุธเคมีที่เลวร้ายต่อมนุษยชาติที่สุด โศกนาฏกรรมครั้งนี้ส่งผลให้การรักษาโรคมะเร็งคืบหน้าอย่างมหาศาล แพทย์ชาวอเมริกันนามว่า Dr. Stewart Alexander ถูกส่งไปตรวจสอบโศกนาฏกรรมดังกล่าว เขาได้ทำการชันสูตรศพของเหล่าทหารเรือที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น พบว่า แก๊สมัสตาร์ดระงับขบวนการสร้างเลือดจากเซลล์เริ่มต้นและเจริญเปลี่ยน (hematopoiesis) หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการผลิตเม็ดเลือดแดง
เขาจึงสงสัยขึ้นว่าขบวนการคล้าย ๆ กันจะสามารถหยุดการแบ่งเซลล์ของเซลล์มะเร็งได้หรือไม่ ผลวิจัยบางอันเผยให้เห็นว่า nitrogen mustard สามารถต่อกรกับมะเร็ง อย่างเช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้อย่างดี
โรคหลอดเลือดหัวใจ – วาร์ฟาริน (warfarin)
ในปีค.ศ. 1932 เกษตรกรจากรัฐวิสคอนซินนำซากของวัวและเดินทางไปศูนย์ทดลองการเกษตรที่ห่างไกลกว่า 200 ไมล์เพื่อหาคำตอบว่าทำไมฝูงวัวของเขาถึงล้มตาย ต้องขอบคุณนักวิทยาศาสตร์จากมูลนิธิ Wisconsin Alumni Research Foundation (WARF) ที่หาคำตอบของการตกเลือดของวัวได้สำเร็จ พวกเขาเรียกสารนี้ว่า วาร์ฟาริน (warfarin) และได้นำไปใช้ทำสารหนูในเวลาต่อไป
วาร์ฟารินถูกนำไปใช้ในมนุษย์ในปี ค.ศ. 1951 เมื่อทหารหน้าใหม่จากกองทัพสหรัฐอเมริกาพยายามจะฆ่าตัวตายโดยรับประทานยาวาร์ฟาริน แต่ถูกช่วยชีวิตด้วยวิตามิน K
นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าฤทธิ์การต้านการแข็งตัวของเลือดของวาร์ฟารินมีประโยชน์ในการรักษา หนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์ คือ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight Eisenhower) ผู้ประสบภาวะหัวใจล้มเหลวในปี ค.ศ. 1955
ระบบประสาทส่วนกลาง – ลิเทียม (lithium)
จิตแพทย์ชาวออสเตรเลีย จอห์น เคด (John Cade) หนูทดลอง หมายถึง การคิดค้นยาที่สามารถใช้กับโรคไบโพลาร์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เคดถูกจองจำในค่ายกักกันเชลยสงครามชางงี ประเทศสิงคโปร์
เขาพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมบางคนที่ถูกกักขังจึงมีความผิดปกติทางจิตในระหว่างที่บางคนไม่มีอาการเลยทั้ง ๆ ที่ระดับความเครียดเหมือนกัน เมื่อเขาได้รับอิสรภาพ
เขาเริ่มการทดลองกับหนูตะเภา โดยการฉีดปัสสาวะมนุษย์ในหนูตะเภา เพื่อหาสารพิษที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะแมเนีย แต่กลับไม่สำเร็จเนื่องจากหนูตะเภาตาย เพราะพิษจากการทดลอง
หลังจากนั้น เขาจึงหันไปทดลองกับเกลือของลิเทียม (lithium salt) เนื่องจากมีความเป็นพิษต่ำกว่า ผลลัพธ์ของมันมหัศจรรย์มาก แต่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาคาดคิดเอาไว้ หนูตะเภาที่อารมณ์แปรปรวนกลับนอนกลิ้งหงายท้องอย่างสบายใจและจ้องมองเขาด้วยความสงบ ลิเทียมมีฤทธิ์ในการบำบัดอาการทางจิตโดยทำให้ผู้รับประทานสงบนิ่ง
เคด ทดลองใช้ลิเทียมกับตัวเอง และผู้ป่วยจิตเวชในโรงพยาบาล ผู้ป่วยคนแรกที่ได้รับลิเทียมสงบลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 3 อาทิตย์เท่านั้น และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในอีก 3 เดือนให้หลัง
แอสไพริน - หยุดยั้งมะเร็ง
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของสหราชอาณาจักร ค้นพบว่า ยาแก้ปวดราคาถูกอย่างแอสไพริน (aspirin) สามารถยับยั้งไม่ให้เซลล์มะเร็งลุกลาม หรือแพร่กระจายออกไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่า แอสไพรินเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยส่งเสริมให้สามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น
การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน หากมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป แพทย์อาจนำยาแอสไพรินไปใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งได้จริงในที่สุด แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถสั่งยานี้ให้กับผู้ป่วยได้ และคนทั่วไปก็ไม่ควรจะหาซื้อยานี้มากินเองเพื่อหวังรักษาโรคมะเร็ง
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะการใช้ยาแอสไพรินเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ และนักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจว่า ผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มใดที่เหมาะสมกับการใช้ยาแอสไพริน และจะได้ประโยชน์จากยาชนิดนี้มากที่สุด
ข้อมูลจากงานวิจัยจำนวนมากในช่วงกว่าหนึ่งทศวรรษก่อน ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ที่กินยาแอสไพรินเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าผู้ป่วยคนอื่น ๆ หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง




















