เทคนิคการเขียนและแต่งนิยายเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ บทที่ 2 ฝึกเขียนเรื่องสั้น
ออกตัวก่อนเลยว่าไม่คิดว่าเนื้อหานี้จะมีบทที่ 2 ต่อ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ แถมที่นี่ก็ไม่ใช่เว็บที่ใช้เขียนนิยายเลยไม่คิดว่าจะมีคนอ่าน พอได้เห็นยอดคนอ่านเลยมีกำลังใจที่จะเขียนบทที่ 2 ต่อ เพราะเรื่องของการเขียนนิยายนั้นเอาจริงๆ มันก็ไม่ยากแต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเมื่อเราบอกกับตัวเองว่าอยากเป็นนักเขียนหรือคิดจะเขียนนิยายสักเรื่อง สิ่งแรกที่หลายคนคิดคือจักรวาลมหากาพย์ หรือเรื่องราวที่สานต่อกันอยู่ในหัวของเราที่อยากจะเขียนออกมา แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันก็เป็นแค่จินตนาการฟุ้งเฟ้อที่คุณคิดฝันเท่านั้น เพราะโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีใครเขาสนุกกับมหากาพย์ในหัวของคุณหรอก
เพราะมีแต่คุณเท่านั้นที่สนุกกับมัน ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณควรทำคือการเขียนเรื่องสั้นแบบจบในตัวของมันเองออกมา ไม่ต้องมีมหากาพย์ไม่ต้องมีเรื่องราวที่เยอะซับซ้อนแค่เรื่องสั้น 3 ถึง 5 หน้าจบ ยาวหน่อยก็ 10 หน้าแบบเริ่มต้นจบในตัวของมัน นั่นคือสิ่งที่นักเขียนนิยายมือใหม่ควรฝึก
ขอเท้าความกลับไปในชีวิตผู้เขียน สมัยที่ผู้เขียนบอกกับตัวเองว่า "ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเป็นนักเขียนนิยาย" ในตอนนั้นผู้เขียนกดพิมพ์ดีดไม่เป็นด้วยซ้ำ และในสมัยนั้นคอมพิวเตอร์ก็มีราคาแพงเลยต้องพิมพ์บนเครื่องพิมพ์ดีด แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นผู้เขียนใช้เวลา 2 ปีเต็มๆ ฝึกแต่งเรื่องสั้นในสมุดด้วยปากกาทุกวันตลอด 2 ปี ผู้เขียนแต่งเรื่องสั้นออกมาเยอะมาก
และที่บอกว่าอย่าแต่งเรื่องยาวแบบมหากาพย์ เพราะผู้เขียนเคยทำมันมาแล้วในตอนเขียนด้วยปากกา ผู้เขียนสร้างจักรวาลนิยายแฟนตาซีของตัวเองออกมา และเขียนออกมาหลายเล่มมากๆ แต่ยิ่งเขียนยิ่งไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมันสนุกกับเรา แต่สุดท้ายก็เขียนไม่จบทิ้งเอาไว้ตรงนั้นไม่เขียนต่อ เพราะสุดท้ายเราจะเบื่อหรือเจอทางตันในเนื้อเรื่อง และโอกาสที่เรื่องยาวจะมีคนอ่านติดตามเรามันน้อยมากๆ ต่างกับเรื่องสั้นที่เขียนออกมาได้เรื่อยๆ พอจบก็ไปเรื่องต่อไปลองแนวอื่นเรื่อยๆ ฝึกแต่งจนคล่องและยิ่งเรามีแนวในใจแล้วยิ่งง่าย อย่างผู้เขียนที่ฝึกเขียนนิยายสืบสวนมาหลายตอนหลายเรื่องมากๆ กว่าจะมาถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าจะเป็นนักสืบที่เป็นวิญญาณที่ช่วยอีกคนสืบคดีต่างๆ นักสืบที่เป็นสัตว์ ไปจนถึงเรื่องราวนักสืบแบบแฟนตาซีต่างโลกก็เคยแต่งมาแล้ว ขนาดเรื่องผีที่เป็นแนวสืบสวนคดีฆาตกรรมก็ลองมาแล้ว และทุกเรื่องก็เป็นเรื่องสั้นที่จบลงด้วยการเขียนด้วยปากกา และคุณผู้อ่านเชื่อไหมว่าผู้เขียนจำทุกเรื่องที่ตัวเองเขียนด้วยปากกาได้หมดทุกเรื่อง และตอนนั้นมันสนุกมากๆ
แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเอานิยายที่ผู้เขียนทำในตอนนั้นมาลงให้คนอ่าน ผู้คนอ่านจะบอกว่าเขียนอะไรของเอ็งอ่านไม่รู้เรื่องเลยอย่างแน่นอน เพราะในตอนนั้นเราแค่เขียนสิ่งที่อยากเขียนเพื่อฝึกตัวเอง มันเลยยังมีจุดบกพร่องและความไม่ลงรอยหลายๆ ด้าน ต่างกับตอนนี้แต่ก็มีหลายครั้งที่ผู้เขียนเอาเรื่งราวเนื้อหาในสมัยนั้นมาขัดเกลาใหม่ก็มี ดังนั้นสิ่งที่คุณฝึกเขียนเรื่องสั้นมันไม่ได้สูญเปล่าบอกเลย
ขอยกตัวอย่างตัวเองอีกเรื่อง ในสมัยที่ผู้เขียนฝึกเขียนเรื่องสั้นนักสืบ ผู้เขียนได้สร้างนิยายนักสืบที่เป็นกลุ่มเด็กในโรงเรียนที่ตั้งชมรมนักสืบขึ้นมา และมีคดีหนึ่งที่เป็นห้องปิดตายที่คนร้ายล็อคตัวเองข้างในด้วยแม่กุญแจ ซึ่งในตอนนั้นผู้เขียนก็เขียนเอาสนุกไม่ได้จริงจัง แต่พอมาได้เขียนนิยายขายจริงๆ จังๆ ผู้เขียนก็เอาทริกตรงนั้นมาปรับและเอาเนื้อเรื่องตรงนั้นมาใช้ที่เหมือนเป็นการแก้มือในอดีต
และไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแต่หลายครั้งมากๆ ที่เรื่องสั้นนักสืบที่เคยเขียนสมัยก่อนจะถูกปรับและเอามาใช้ในนิยายที่เขียนขาย ดังนั้นการเขียนเรื่องสั้นมันไม่ได้เสียเปล่า แต่มันคือการฝึกเขียนฝึกแต่งเรื่อง และพอเราได้เป็นนักเขียนต้องเขียนเพื่อขายนิยายจริงจัง คุณจะคิดถึงเนื้อเรื่องเหล่านั้นและเอามันมาดัดแปลงใช้อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้จะต่างกับครั้งก่อนเพราะเราได้เรียนรู้เราเก่งขึ้น และเราก็พร้อมจะเอาเรื่องนั้นมาเขียนให้มันสมบูรณ์ นั่นคือผลที่มาจากการเขียนเรื่องสั้นของผู้เขียน
สรุปในบทที่ 2 ลองฝึกเขียนเรื่องสั้นดู ฝึกสร้างตัวเอกหลายๆ แบบ เนื้อเรื่องหลายๆ อย่าง เขียนไปจนกว่าคุณจะเจอหนทางและเนื้อเรื่องของตัวเอง ซึ่งสำหรับผู้เขียนก็เขียนแนวสืบสวนไปเยอะมากๆ จนมาจบที่เรื่องราวของสาวน้อยที่ที่สืบเรื่องราวสยองขวัญในโรงเรียน ในนิยายเรื่อง "ย้งยี้สาวน้อยยอดนักสืบ" ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนคิดว่ามันสนุกและควรเอามาต่อยอด
ซึ่งก็เป็นผลมาจากการเขียนเรื่องสั้นนับสิบๆ เรื่องสมัยนั้นนั่นเอง และอนาคตถ้ามีเล่มที่ 4 ต่อผู้เขียนก็เคยคิดในใจเล่นๆ ว่าถ้าได้ทำต่อจะเอาหนึ่งในตอนที่เคยเขียนสมัยเขียนด้วยปากกามาเขียนใหม่ (ทุกอย่างอยู่ในหัวหมดแล้วส่วนที่เขียนในสมุดหายไปหมดแล้ว) มาเขียนใหม่ให้มันสมบูรณ์ เพราะสมัยที่เขียนด้วยปากกามันยังไม่สมบูรณ์ทางด้านเนื้อเรื่อง แต่ตอนนี้ถ้าเอามาเขียนใหม่มันต้องสนุกและดีมากๆ แน่นอน อ่านถึงตรงนี้ก็อยากให้ทุกคนลองไปฝึกเขียนดู บอกเลยว่ามันไม่มีเสียเปล่าแน่นอน แล้วพบกันใหม่ในบทที่ 3 ถ้ายังมีคนสนใจนะ

















