ผู้นำที่มีเกียรติพูดแล้วไม่คืนคำ
คุณเคยไม่ทำตามสัญญาในชีวิตกี่ครั้ง ?
เวลาพูดถึงคำสัญญาที่เกี่ยวกับสามก๊ก จะมีอยู่หนึ่งเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะโด่งดังและถูกพูดถึงอยู่เสมอ จนกลายเป็นวลีเด็ดที่ใครต่อใครหลายคนนำไปเป็นแนวทางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต
นั่นคือคำพูดที่ว่า “ใช้คนไม่สงสัย ถ้าสงสัยไม่ใช้“ หมายความว่า หากเรามอบหมายงานหรือหน้าที่ให้กับใครแล้ว แสดงว่าเรามั่นใจในตัวคนที่มอบหมายงานให้ เพราะหากใช้เขาไปทำงาน แล้วมานั่งสงสัยหวาดระแวงอยู่ภายหลัง แบบนี้ สู้ไม่ใช้ตั้งแต่แรกเสียดีกว่า เพราะขนาดตัวเองยังไม่มั่นใจ
สมัยสามก๊ก มีขุนศึกหนุ่มนามว่า ซุนเซ็ก เป็นขุนศึกที่มีกำลังวังชา มีความสามารถในการต่อสู้ที่เก่งกาจ เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่มีฝีมือแห่งยุคสามก๊ก ซุนเซ็กเป็นบุตรของซุนเกี๋ยนอดีตขุนพลใหญ่ เมื่อพ่อจากไปตั้งแต่เขายังหนุ่ม จึงทำให้ซุนเซ็กต้องสร้างเนื้อสร้างตัว รวบรวมกำลังพลเพื่อที่จะพลิกฟื้นตระกูลซุนให้ยิ่งใหญ่อีกครา
ในช่วงที่ซุนเซ็กเริ่มสะสมกำลังพล ตีเมืองเพื่อขยายอำนาจในบริเวณแถบดินแดนกังตั๋งอยู่นั้น ซุนเซ็กก็ต้องเข้าทำศึกกับเล่าอิ้วเจ้าเมืองยังจิ๋ว ซึ่ง ณ ตอนนั้นซุนเซ็กหารู้ไม่ว่า ตัวเขากำลังจะได้เพชรที่หลบซ่อนอยู่ในทัพของเล่าอิ้ว เพชรเม็ดนี้ถูกเล่าอิ้วมองข้ามและแต่งตั้งให้เป็นเพียงหัวหน้ากองลาดตระเวน แค่เพราะว่าอายุยังน้อยจึงยังไม่สมควรได้เป็นแม่ทัพใหญ่ เพชรเม็ดนี้มีชื่อว่า “ไทสูจู้”
วันหนึ่งไทสูจู้ได้ข่าวที่ซุนเซ็กออกลาดตระเวนอยู่บริเวณแถบนั้น ขุนศึกอย่างไทสูจู้ที่มีพร้อมทั้งความกล้าบ้าบิ่น ฝีมือ และความไฟแรงฉบับคนหนุ่ม จึงรีบควบม้าออกไป หวังจับเป็นซุนเซ็กมาให้ได้ เมื่อไปถึงไทสูจู้พบซุนเซ็กกำลังลาดตระเวนชัยภูมิและมีทหารติดตามเพียงไม่กี่คน
ไทสูจู้จึงตะโกนท้าทายและควบม้าเข้าท้ารบทันที ฝ่ายซุนเซ็กเห็นไทสู้จู้พุ่งตรงเข้ามา เมื่อไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่มาแบบนี้ไม่ประสงค์ดีแน่ๆ จึงควบม้าเข้าต่อสู้ด้วย ทั้งคู่รบกันชุลมุน ถึงแม้รบกันดุเดือดจนตกม้า ก็ยังวิ่งเข้าต่อสู้กันจนอาวุธหลุดมือ และใช้เพียงกำปั้นหมัดต่อยกันตามวิถีลูกผู้ชาย
การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสีและดุเดือด เมื่อเล่าอิ้วทราบข่าวจึงสั่งการให้ทหารยกพลรีบตามไปสมทบไทสูจู้ทันที ส่วนฝั่งซุนเซ็กก็มีทัพเสริมเช่นกัน ลูกน้องคนสนิทอย่างอุยกายและเทียเภาก็รีบยกพลตามออกมาช่วยเจ้านายหนุ่ม การต่อสู้ของทั้งคู่จึงต้องยุติลงชั่วคราว แต่ต่างฝ่ายต่างก็คว้าของสำคัญของอีกฝ่ายมาไว้ได้ ซุนเซ็กได้เสื้อคลุมของไทสูจู้กลับมา ส่วนไทสูจู้ก็ได้หมวกซุนเซ็กกลับมา
เมื่อไทสูจู้กลับเข้าเมืองพร้อมหมวกเหล็กของซุนเซ็ก เล่าอิ้วจึงเล็งเห็นถึงผลงานชิ้นเอกในครั้งนี้ จึงได้แต่งตั้งไทสูจู้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้นำกำลังพลเข้าห่ำหั่นกับซุนเซ็กทันที ไทสูจู้ก็ยกทัพเข้าต่อสู้ด้วยซุนเซ็กชนิดที่สู้กันหนนี้ดุเดือดกว่าหนที่แล้ว ยิ่งเจอขุนศึกที่เก่งกล้าแบบนี้เหมือสดั่งสะท้อนเห็นตัวเองในกระจก ขุนศึกทั้งคู่ก็แอบยิ้มดีใจอยู่ลึกๆที่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เก่งฉกาจสมน้ำสมเนื้อ ยิ่งสร้างความมุมานะที่จะเอาชนะให้กับทั้งสองคนมากยิ่งขึ้น
ขณะนั้นเองฝั่งไทสูจู้ก็ต้องพบกับข่าวร้าย เมื่อเหตุการณ์เกิดหักมุม ตัวเขาตกหลุมพรางศัตรูเข้าอย่างจัง เมื่อไทสูจู้ทราบว่าเล่าอิ้วนั้นเสียเมืองไปเสียแล้ว เพราะทัพของจิวยี่มือขวาของซุนเซ็กได้แอบลอบตีเมืองไปในขณะที่ไทสูจู้ออกมา ทั้งหมดนี้คือแผนของจิวยี่ที่ต้องการล่อให้ไทสูจู้และทหารออกจากเมืองเพื่อง่ายต่อการเข้าตี
ฝั่งเล่าอิ้วพอเห็นว่าเมืองนั้นแตกแล้ว ก็รีบพาทหารที่รอดตายหนีไปยังเมืองอื่นทันที โดยไม่สนใจใยดีต่อไทสูจู้ ทิ้งไทสู้จู้เอาไว้กลางสมรภูมิ ไทสูจู้จึงรวบรวมกำลังพลที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไปตั้งหลักที่เมืองเก็งก๋วน
หลังจากที่ซุนเซ็กและจิวยี่ได้ฉลองกันเพราะยึดเมืองของเล่าอิ้วมาได้แล้ว จิวยี่มือขวาผู้เปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสาบาน ก็ได้เสนออุบายจับตัวไทสูจู้แก่ซุนเซ็ก ทำให้ซุนเซ็กถูกใจเป็นอย่างมากเพราะซุนเซ็กเป็นผู้นำที่ชอบคนเก่งมีฝีมือ และคนเก่งระดับไทสูจู้ย่อมต้องเข้าตาซุนเซ็กอย่างแน่นอน และแล้วด้วยแผนการที่วางเอาไว้ซุนเซ็กและจิวยี่ก็ได้จับเป็นไทสูจู้ได้ในที่สุด
เมื่อซุนเซ็กจับเป็นไทสูจู้ได้แล้ว ก็เกลี้ยกล่อมให้มาเข้าร่วมกำลังพลของตนด้วยและเมื่อไทสูจู้รู้ความจริงว่าตนเองนั้นถูกเล่าอิ้วทอดทิ้งเอาไว้อยู่เพียงลำพัง เล่าอิ้วหาได้มีความห่วงใยใดๆต่อตนเอง ไทสูจู้ก็เจ็บแค้นในการเลือกเจ้านายผิดของตน และพร้อมจะเข้าด้วยกับซุนเซ็ก เพราะต้องการผู้นำที่เก่งกาจไม่ใจแคบไร้ซึ่งความสามารถอย่างเล่าอิ้ว
ไหนๆก็ย้ายเข้าร่วมทัพซุนเซ็กแล้ว ไทสูจู้จึงขอเวลาซุนเซ็กในการไปรวบรวมพลทหารเก่าของเล่าอิ้วที่ยังกระจัดกระจายกันอยู่หลายทัพให้มาเข้าทีมของซุนเซ็กด้วย เรื่องนี้ใครฟังก็ต้องหวาดระแวง เพราะพึ่งถูกจับมาหยกๆ ใครจะยอมปล่อยให้ออกไปง่ายๆ แม่ทัพและที่ปรึกษาหลายคนของซุนเซ็กก็ได้ห้ามปรามเอาไว้ แต่ซุนเซ็กก็ไม่ฟังและยังยืนยันอนุญาติให้ไทสูจู้ออกไปรวบรวมพลพรรคสมาชิกเก่า เมื่อไทสูจู้ได้ยินคำตอบก็ยินดีและสัญญาว่ารีบกลับมาภายใน 3 วันก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
เมื่อไทสูจู้ขอเวลาออกไปรวบรวมไพร่พล ซุนเซ็กจึงพักทัพเอาไว้ แต่ที่ปรึกษาและแม่ทัพทั้งหลายก็ไม่มีใครเชื่อลมปากของไทสูจู้ จึงปักไม้เอาไว้เพื่อทำนาฬิกาแดด หากเกินกว่าเวลาที่กำหนดไว้ก็จะถือว่าไทสูจู้เป็นศัตรูและพร้อมจะออกล่าทันที
เมื่อเริ่มเข้าใกล้เวลาที่นัดหมาย จะมองออกไปสุดลูกหูลูกตาแค่ไหนก็ยังไม่มีแววไทสูจู้จะกลับมา ที่ปรึกษาหลายคนเริ่มมองไปในทางเดียวกันว่า สงสัยงานนี้จะสัญญาลมปากเป็นแน่แท้ แต่แล้ววลีเด็ดก็ออกมาในจังหวะนี้เอง “ข้าซุนเซ็ก.. ใช้คนไม่สงสัย ถ้าสงสัยไม่ใช้!“ ยิ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่ซุนเซ็กมีต่อไทสูจู้เข้าไปอีก
และแล้วก็มีฝุ่นตลบคละคลุ้งพร้อมเสียงม้าศึกเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ไทสูจู้กลับมาตามสัญญา! มาทันเวลาที่กำหนดกันเอาไว้พอดิบพอดี และแน่นอนครับงานนี้ไทสูจู้ไม่ได้มาตัวเปล่าเพราะยังมีสัญญาอีกข้อ คือรวบรวมไพร่พลเก่าของเล่าอิ้วที่เหลือรอดมาร่วมด้วย
งานนี้ซุนเซ็กจึงได้รับโบนัสถึงสามอย่าง คือหนึ่ง ได้ตัวขุนพลที่เก่งกาจอย่างไทสูจู้ สอง ได้พลพรรคมาเข้าร่วมเพิ่มเติม และสุดท้าย สาม ซุนเซ็กยังได้รับคำชมจากลูกน้องทุกๆคนในเรื่องของการใช้คน ให้ยิ่งมั่นใจได้ว่าซุนเซ็กคนนี้ใช้คนไม่ผิดจริงๆ
หลายครั้งเราอาจเคยผิดคำพูดหรือผิดสัญญา ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว บางคนอาจให้โอกาสที่สอง แต่สำหรับบางคนก็อาจไม่ให้เลย คนอย่างไทสูจู้เมื่อรู้ว่าผู้นำแบบเล่าอิ้วไม่ควรจะอยู่รับใช้อีกต่อไป และมองเห็นว่าซุนเซ็กคือนายดีที่ตามหามาตลอด
งานนี้ถึงสัญญาเอาไว้อย่างไรก็ต้องมาตามนัด เพราะสัญญาข้อนี้ของไทสูจู้พูดแล้วไม่มีคืนคำ เพราะไทสูจู้รู้ตั้งแต่แรก
ว่าในที่สุดเขาก็เจอผู้นำที่แท้จริง
ผู้นำที่เขาพร้อมมอบกายถวายชีวิต
ผู้นำที่ทำให้ไทสูจู้ทำในสิ่งที่ ”สัญญา“ เอาไว้






