ทำไมเวลาของไทยต้องเรียกเป็น "ทุ่ม" และ "โมง" ?
ระบบการบอกเวลาของไทยมีรากฐานมาจากวิธีดั้งเดิมที่ใช้ "เสียง" เป็นตัวช่วยกำหนดช่วงเวลาในแต่ละวัน ก่อนที่จะมีนาฬิกาแบบตะวันตกเข้ามา คนไทยใช้เสียงกลองและฆ้องเป็นสัญญาณบอกเวลา ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ทุ่ม" และ "โมง"
ทุ่ม – เสียงกลองบอกเวลายามค่ำคืน
ในอดีต เมื่อเข้าสู่เวลากลางคืน คนไทยใช้กลองตีเพื่อบอกเวลา เริ่มตั้งแต่ "ทุ่มหนึ่ง" ซึ่งหมายถึง 19.00 น. และนับเพิ่มขึ้นทุกชั่วโมงเป็น สองทุ่ม (20.00 น.), สามทุ่ม (21.00 น.) ไปจนถึง หกทุ่ม (24.00 น.) หรือเที่ยงคืน หลังจากนั้นจึงเริ่มนับใหม่โดยใช้คำว่า "ตีหนึ่ง" (01.00 น.), ตีสอง (02.00 น.) ไปจนถึงรุ่งเช้า
โมง – เสียงฆ้องบอกเวลายามกลางวัน
ช่วงเวลากลางวัน คนไทยใช้ฆ้องแทนกลอง โดยเริ่มนับตั้งแต่ "เจ็ดโมงเช้า" (07.00 น.), "แปดโมง" (08.00 น.) ไปเรื่อย ๆ จนถึง "สิบเอ็ดโมง" (11.00 น.) จากนั้นเมื่อถึง เที่ยงวัน (12.00 น.) ก็จะไม่ใช้คำว่าโมงอีก
●การเปลี่ยนแปลงและการใช้ในปัจจุบัน
แม้ว่าปัจจุบันระบบ 24 ชั่วโมงแบบสากลจะเป็นที่นิยม แต่คนไทยก็ยังคงใช้คำว่า ทุ่ม และ โมง ในชีวิตประจำวัน เช่น "นัดกันตอนสามทุ่ม" หรือ "กินข้าวเช้าแปดโมง" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาไทยในอดีต
จะเห็นได้ว่าการนับเวลาแบบไทยนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์และเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยอย่างลึกซึ้ง เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของภาษาไทยที่น่าสนใจไม่น้อย














