จังหวะของการวิ่ง วิ่งแบบมืออาชีพด้วยจังหวะ 3-2 ป้องกันภาวะบาดเจ็บจากแรงกระแทกด้านเดียวได้ดีขึ้น
จังหวะการวิ่ง คือ การควบคุมการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่วิธีการก้าวเท้า ความยาวของช่วงก้าว การแกว่งแขน ที่สำคัญคือ จังหวะการวิ่งที่สัมพันธ์กับระบบการหายใจ
หาจังหวะการวิ่ง ของตัวเองให้เจอ
หากนักวิ่งสามารถสร้างจังหวะที่เหมาะสมของตัวเองได้ดี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการวิ่งดีขึ้น วิ่งเร็วขึ้น วิ่งได้นานยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการใช้ปอดและกล้ามเนื้อกระบังลมได้อย่างพอเหมาะ ทำงานสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถควบคุมการใช้พลังงานระหว่างวิ่ง เกิดการผ่อนคลาย ลดความเครียด
จังหวะการวิ่ง ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของนักวิ่งแต่ละคน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การเรียนรู้ สร้างจังหวะที่เหมาะสมของตัวเอง รวมถึงการฝึกซ้อมที่สม่ำเสมอ
วิ่งแบบมืออาชีพด้วยจังหวะ 3-2
ปกติขณะวิ่งคนส่วนใหญ่มักหายใจด้วยจังหวะแบบ 2-2 คือ การหายใจเข้า 2 ออก 2 ตามจังหวะการวางเท้าสลับซ้ายขวา เช่น หายใจเข้าขณะเท้าขวาแตะพื้นนับ 1 เมื่อเท้าซ้ายแตะพื้นนับ 2 จากนั้นหายใจออก 1 พร้อมกับวางเท้าขวา แล้วนับ 2 ขณะวางเท้าซ้าย ซึ่งเมื่อถึงจังหวะเริ่มเข้าและออกจะเป็นจังหวะเดียวกับที่วางเท้าขวาเสมอ และนับ 2 เมื่อวางเท้าซ้ายเสมอ จังหวะแบบนี้ทำให้เกิดแรงจากกระบังลมเพียงด้านเดียวคือ ด้านขวา เนื่องจากเกิดแรงกระแทกเป็นจังหวะหายใจเข้าและออกจากด้านขวาเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อฝึกให้ได้ใช้กระบังลมได้เท่ากันทั้ง 2 ด้าน จึงมีการพัฒนาจังหวะการวิ่งให้สัมพันธ์กับระบบหายใจแบบ 3-2 ขึ้น โดยให้ช่วงหายใจเข้ามีการลงเท้า 3 ครั้ง และ หายใจออก 2 ครั้ง เป็นการป้องกันภาวะบาดเจ็บจากแรงกระแทกด้านเดียวได้ดีขึ้น เนื่องจากขณะหายใจเข้า กล้ามเนื้อจะมีการหดตัว เมื่อหายใจออกกล้ามเนื้อจะยืดตัวออก โดยนักวิ่งสามารถฝึกได้ดังนี้
หายใจเข้า 3
- จังหวะก้าวเท้าขวาแตะพื้นหายใจเข้านับ 1
- ก้าวเท้าซ้ายนับ 2
- สลับกลับมาก้าวเท้าขวานับ 3
หายใจออก 2
- จากนั้นจึงเป็นจังหวะหายใจออก โดยก้าวเท้าซ้ายนับ 1
- ก้าวเท้าขวานับ 2
วนกลับมาหายใจเข้า 3
- สลับกลับมาก้าวเท้าซ้ายนับ 1
- ก้าวเท้าขวานับ 2
- ก้าวเท้าซ้ายนับ 3
หายใจออก 2
- จากนั้นจึงเป็นจังหวะหายใจออกอีกครั้ง ด้วยการก้าวเท้าขวานับ 1
- ก้าวเท้าซ้ายนับ 2
ทำสลับวนไปเรื่อย ๆ จนเป็นจังหวะที่ลงเท้าซ้ายขวา หายใจเข้าและออก ที่สามารถลงเท้าทั้ง 2 ข้าง หายใจด้วยแรงกระแทกทั้ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน ซึ่งการฝึกในระยะแรกอาจสร้างความยุ่งยากหรือต้องใช้สมาธิอย่างมาก แต่หากมีการฝึกฝนจนร่างกายสามารถจดจำจังหวะหายใจจนสอดคล้องได้อย่างเหมาะสม ผู้ฝึกจะสัมผัสได้ถึงความพลิ้วไหวมากขึ้น ความเหนื่อยลดลง วิ่งได้สบาย และเป็นการ ฝึกวิ่งให้ทน ขึ้นอย่างมาก
ปรับท่าวิ่งที่ถูกต้อง มีประโยชน์ ช่วยให้วิ่งได้นานมากขึ้น
ท่าวิ่งที่ถูกต้องจะช่วยให้ของคุณนั้นมีความมั่นคง พร้อมรับแรงกระแทกทุกจังหวะของการก้าวเท้า ทำให้คุณสามารถวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง เพราะท่าวิ่งที่ถูกต้องเกิดจากการลงเท้าและหายใจให้ถูกจังหวะ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกเหนื่อยช้าลงขณะวิ่ง ทำให้สามารถวิ่งได้เป็นระยะเวลานานมากขึ้น
















