ดวงดาวแห่งนักล่า (The Hunter's Star)
บทที่ 1: นักล่าผู้ไร้พ่าย
เสียงธนูพุ่งแหวกอากาศดังก้องป่าทึบ ก่อนจะปักเข้าที่ลำตัวของกวางหนุ่มอย่างแม่นยำ สัตว์เคราะห์ร้ายทรุดตัวลงกับพื้น ส่งเสียงร้องสุดท้ายก่อนร่างจะสงบนิ่ง ชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมกริบจับจ้องเหยื่อของเขาด้วยความพึงพอใจ
“อีกตัวแล้ว โอริออน” เสียงของเมลานีออส เพื่อนร่วมทางของโอริออนดังขึ้น “เจ้าไม่มีใครเทียบได้จริง ๆ”
โอริออนยิ้ม พลางสะบัดเส้นผมสีดำขลับของเขา เขาเป็นชายผู้สูงใหญ่ราวยักษ์ มีพละกำลังเหนือมนุษย์ และเป็นนักล่าที่ไม่มีผู้ใดสามารถโค่นได้
“การล่าสัตว์ไม่ใช่เพียงเรื่องของกำลัง แต่เป็นศิลปะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “เจ้าต้องเข้าใจเหยื่อของเจ้า ต้องรู้จังหวะ และรู้ว่ามันจะเคลื่อนที่ไปทางใด”
เมลานีออสพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง
“ข้าคิดว่าเราน่าจะกลับกันได้แล้ว” เมลานีออสกล่าว “ค่ำคืนนี้เทพีอาร์เทมิสจะเสด็จผ่านป่าแห่งนี้ ถ้าเราบังเอิญไปเจอเข้า ข้าไม่แน่ใจว่าเทพีจะพอใจนัก”
โอริออนหัวเราะเสียงดัง “เทพีแห่งการล่าสัตว์จะไม่พอใจที่เราล่าเหยื่อในป่าของนางงั้นรึ? ข้าว่าไม่น่าเป็นปัญหาหรอก บางทีข้าอาจได้ลองทดสอบฝีมือของข้ากับนางก็เป็นได้”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!” เมลานีออสเบิกตากว้าง “เทพีอาร์เทมิสเป็นธิดาของซุส เจ้าไม่กลัวว่าการท้าทายนางจะนำความหายนะมาสู่ตัวเองหรือ?”
โอริออนยักไหล่ “ข้าไม่กลัวเทพองค์ใด ข้าเป็นนักล่าผู้เก่งกาจที่สุด และข้าก็อยากรู้ว่าเทพีอาร์เทมิสมีฝีมือสมคำร่ำลือหรือไม่”
ก่อนที่เมลานีออสจะตอบอะไร เสียงฝีเท้าของม้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งสองหันไปมอง เห็นขบวนของเหล่านางอัปสรแห่งป่าที่เดินนำหน้าหญิงผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดล่าสัตว์สีเงิน สะพายธนูและลูกศร นางมีผิวขาวซีดราวจันทร์ฉาย และดวงตาสีเงินเป็นประกายแห่งดวงดารา
“เทพีอาร์เทมิส…” เมลานีออสกระซิบ พลางคุกเข่าลงกับพื้น
โอริออนยืนนิ่ง จ้องมองนางด้วยความสนใจ แม้ว่านางจะมีรูปลักษณ์งดงาม แต่สิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดคือออร่าที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง ความสง่างามผสมกับความแข็งแกร่งของนักล่าที่แท้จริง
อาร์เทมิสหยุดเดิน ดวงตาของนางจ้องตรงมาที่โอริออนอย่างเยือกเย็น “เจ้าคือโอริออน?”
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่าน เทพีแห่งการล่า” โอริออนกล่าวพลางโค้งศีรษะเล็กน้อย “ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของท่านมามาก และข้าอยากรู้ว่าฝีมือของท่านเป็นเช่นไร”
อาร์เทมิสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าต้องการทดสอบข้าหรือ?”
“ถ้าหากท่านไม่รังเกียจ ข้าอยากจะเสนอการแข่งขันล่าสัตว์” โอริออนยิ้มมุมปาก “เราจะได้รู้กันว่าใครกันแน่ที่เป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
เสียงกระซิบกระซาบจากเหล่านางอัปสรดังขึ้น อาร์เทมิสยืนสงบ แต่ในแววตาของนางมีแววขบขันปนกับความท้าทาย
“ถ้าเจ้าแน่ใจนัก ข้าก็ไม่ขัด” นางกล่าว “เราจะเริ่มกันพรุ่งนี้ยามอรุณรุ่ง และเราจะมาดูกันว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใด โอริออน”
โอริออนยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เมลานีออสยืนตัวแข็ง กลัวว่าเพื่อนของเขากำลังเล่นกับไฟที่ยากจะควบคุม
การแข่งขันล่าสัตว์ระหว่างนักล่าผู้ยิ่งใหญ่กับเทพีแห่งป่าไม้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น…
บทที่ 2: การพบกันของเทพีและนักล่า
แสงแรกของอรุณรุ่งแตะแนวต้นไม้สูงตระหง่านในป่าแห่งเดลอส อากาศยามเช้าเย็นสบาย เสียงนกป่าขับขานบทเพลงยามเช้า ขณะที่โอริออนยืนอยู่กลางลานโล่ง รอเทพีอาร์เทมิสปรากฏตัวตามที่ได้นัดหมายไว้
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าก้าวเบา ๆ ดังมาจากพุ่มไม้ อาร์เทมิสก้าวออกมาด้วยความสง่างามเช่นเคย ดวงตาสีเงินของนางจับจ้องไปที่โอริออน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าพร้อมหรือยัง?”
โอริออนยิ้มพลางจับคันธนูของตนแน่น “ข้าพร้อมเสมอ”
อาร์เทมิสพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเมลานีออสที่ยืนกังวลอยู่ด้านหลัง “เขาจะร่วมแข่งขันหรือไม่?”
เมลานีออสรีบส่ายหน้า “ข้าขอเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์”
อาร์เทมิสหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันมาทางโอริออน “เราจะแข่งขันกันด้วยกติกาง่าย ๆ ใครสามารถล่าเหยื่อได้มากกว่าภายในหนึ่งวัน ผู้นั้นเป็นฝ่ายชนะ”
โอริออนพยักหน้า “แล้วรางวัลล่ะ?”
อาร์เทมิสยิ้มมุมปาก “เกียรติยศของผู้ชนะ”
โอริออนหัวเราะ “เช่นนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ เทพีอาร์เทมิส”
ทั้งสองแยกย้ายกันไปคนละทาง และการแข่งขันล่าสัตว์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะนำไปสู่โชคชะตาอันโศกเศร้าก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…
บทที่ 3: ความผูกพันที่ลึกซึ้ง
การแข่งขันล่าสัตว์ดำเนินมาทั้งวัน แสงแดดเริ่มอ่อนลงเป็นสีทองอบอุ่น โอริออนและอาร์เทมิสต่างประทับใจกับความสามารถของอีกฝ่าย พวกเขาเริ่มชื่นชมกันและกัน มิใช่ในฐานะคู่แข่ง แต่ในฐานะสหายร่วมล่า
โอริออนเดินเข้าไปหานางพร้อมรอยยิ้ม “ข้ายอมรับว่าเจ้ามีฝีมือเป็นเลิศจริง ๆ เทพีอาร์เทมิส”
อาร์เทมิสยิ้มบาง ๆ ขณะเก็บลูกศรเข้าซอง “เจ้าเองก็ไม่เลวเลย โอริออน”
ทั้งสองนั่งพักริมธารน้ำใสที่ไหลเอื่อย ๆ เสียงน้ำกระเซ็นทำให้บรรยากาศสงบ อาร์เทมิสเหลือบมองโอริออนอย่างพินิจพิจารณา “ข้าไม่เคยพบมนุษย์คนใดที่กล้าท้าทายข้าเช่นเจ้า”
โอริออนหัวเราะเบา ๆ “ข้าเพียงอยากรู้ว่าตำนานของเจ้ามีจริงหรือไม่”
อาร์เทมิสพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้าต่างจากมนุษย์คนอื่น... ข้ามิได้รู้สึกว่าต้องระแวดระวังต่อเจ้า”
ความเงียบครอบคลุมทั้งสองชั่วขณะ ก่อนที่โอริออนจะกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน”
ณ จุดนั้น ความผูกพันที่ไม่อาจอธิบายได้เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างเทพีแห่งการล่าและนักล่าผู้เก่งกาจ ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากการแข่งขันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น…
บทที่ 4: ความอิจฉาของเทพอพอลโล
สายลมแห่งโอลิมปัสพัดผ่านยอดเขาสูง อพอลโล เทพแห่งแสงอาทิตย์และดนตรี นั่งทอดสายตามองลงไปยังโลกเบื้องล่าง ที่ซึ่งน้องสาวของเขา อาร์เทมิส กำลังใช้เวลาร่วมกับมนุษย์คนหนึ่ง ชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด โอริออน
“เจ้าดูจะพึงพอใจในตัวมนุษย์ผู้นั้นมากไปแล้ว อาร์เทมิส” อพอลโลพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีทองของเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งความกังวลและความไม่พอใจ
เขารู้ดีว่าน้องสาวของตนปฏิญาณว่าจะเป็นเทพีพรหมจรรย์ ไม่ข้องเกี่ยวกับความรัก แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม อาร์เทมิสหัวเราะเคียงข้างโอริออน ทั้งสองพูดคุยอย่างสนิทสนมและล่าสัตว์ร่วมกันราวกับเป็นสหายที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน
“เป็นไปไม่ได้...” อพอลโลขมวดคิ้วแน่น ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาเป็นทั้งพี่ชายและผู้ปกป้องอาร์เทมิสมาตลอด แต่บัดนี้ มนุษย์คนหนึ่งกลับทำให้เทพีผู้ยิ่งใหญ่ใช้เวลาหมดไปกับเขา
เทพแห่งแสงอาทิตย์เดินไปมาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเรียกเฮอร์เมส เทพแห่งสารและการหลอกลวงให้มาพบ “เฮอร์เมส เจ้าได้ข่าวเรื่องโอริออนบ้างหรือไม่?”
เฮอร์เมสยิ้มบาง ๆ ราวกับรู้ทันความคิดของอพอลโล “แน่นอน เขาเป็นนักล่าผู้แข็งแกร่ง และบัดนี้เขาก็เป็นมิตรกับอาร์เทมิส”
“ข้ามิอาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป” อพอลโลกล่าวเสียงเคร่ง “หากปล่อยไป อาร์เทมิสอาจถูกมนุษย์คนนั้นทำให้ลืมคำปฏิญาณของตน”
เฮอร์เมสเลิกคิ้วขึ้น “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
อพอลโลยิ้มเย็น “ข้าจะทำให้ความสัมพันธ์นี้จบลง ก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจย้อนคืน”
ในป่าแห่งเดลอส อาร์เทมิสและโอริออนกำลังฝึกยิงธนูร่วมกัน อาร์เทมิสสังเกตเห็นว่าโอริออนเริ่มแม่นยำขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถสอยเหยื่อได้แม้กระทั่งนกที่กำลังบินอยู่
“ข้าไม่เคยพบมนุษย์ที่มีฝีมือเช่นเจ้า” อาร์เทมิสกล่าวด้วยความประทับใจ
โอริออนหัวเราะ “ข้าก็ไม่เคยพบเทพีที่ทรงฝีมือเช่นเจ้า”
ทั้งสองหัวเราะร่วมกัน แต่แล้ว เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้น อาร์เทมิสหันไปพบอพอลโลยืนอยู่ที่ชายป่า สีหน้าของเขาเย็นชา
“อาร์เทมิส ข้าต้องการคุยกับเจ้าสองต่อสอง” อพอลโลกล่าวเสียงเรียบ
โอริออนก้าวเข้ามา “หากเจ้ามีสิ่งใดจะพูด ก็พูดต่อหน้าเราเถอะ”
อพอลโลหรี่ตา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้ามิอาจเชื่อได้ว่า น้องสาวของข้า เทพีแห่งการล่า จะลดตัวลงมาใช้เวลาร่วมกับมนุษย์เช่นเจ้า”
อาร์เทมิสขมวดคิ้ว “โอริออนมิใช่มนุษย์ธรรมดา เขาเป็นเพื่อนของข้า”
“เพื่อน?” อพอลโลแค่นหัวเราะ “หรือบางที เจ้ากำลังถูกเขาหลอกล่อด้วยคำพูดหวานหู?”
โอริออนกำหมัดแน่น “เจ้ากำลังกล่าวหาอะไร?”
“ข้าเพียงเตือนน้องสาวของข้าให้รู้เท่าทันมนุษย์” อพอลโลกล่าว “มนุษย์นั้นอ่อนแอและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เจ้าจะวางใจเขาได้หรือ?”
อาร์เทมิสถอนหายใจ “ข้ามิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น อพอลโล”
“เช่นนั้นก็พิสูจน์ให้ข้าเห็น” อพอลโลกล่าวก่อนจะยิ้มมุมปาก “ข้าขอท้าเจ้า อาร์เทมิส หากเจ้าสามารถพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าโอริออนมิใช่ภัย ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”
อาร์เทมิสหันไปมองโอริออน ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างมั่นใจ “เช่นนั้น เรามาดูกัน”
อพอลโลยิ้มเย็น แต่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยแผนการที่อาร์เทมิสยังไม่อาจล่วงรู้…
บทที่ 5: การล่าครั้งสุดท้าย
รุ่งอรุณแรกแห่งวันใหม่ อากาศยามเช้าเย็นสบายและหมอกบางลอยคลอเคลียเหนือพื้นดิน โอริออนยืนอยู่ที่ริมผา มองดูผืนป่ากว้างใหญ่ที่ทอดตัวออกไปเบื้องหน้า ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีทองเมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่อง
อาร์เทมิสเดินเข้ามาเคียงข้างเขา สายตาของนางเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความคุ้นเคย “วันนี้ เจ้าพร้อมสำหรับการล่าหรือไม่?”
โอริออนยิ้มพลางพยักหน้า “แน่นอน ข้ามีเป้าหมายที่ข้าตั้งใจจะล่าในวันนี้ มันจะเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าเคยล่า”
อาร์เทมิสหัวเราะเบา ๆ “เจ้าพูดเช่นนั้นเสมอ” นางหยุดชั่วครู่ก่อนจะเสริมว่า “แต่วันนี้มีบางอย่างแปลกไป”
โอริออนเลิกคิ้ว “แปลกอย่างไร?”
นางเหลือบตามองเขา ราวกับรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่เธออธิบายไม่ได้ “เพียงแต่ระวังตัวให้ดี”
ทั้งสองเดินเข้าสู่ป่า โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่จากเบื้องบน อพอลโล เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบงัน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยแต่เต็มไปด้วยความคิดที่ซับซ้อน
ขณะที่โอริออนกำลังล่า เสียงป่ารอบตัวกลับเงียบลงผิดปกติ นกและสัตว์ป่าเหมือนจะซ่อนตัวอยู่ ราวกับรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทันใดนั้น แมงป่องยักษ์ตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากพุ่มไม้ ดวงตาสีดำของมันเป็นประกายด้วยความดุร้าย ก้ามของมันกระทบกันเสียงดังสนั่น ร่างของมันสูงใหญ่ราวกับภูเขาเล็ก ๆ โอริออนชักดาบออกมาทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความท้าทาย
“เจ้าคือสัตว์ประหลาดที่ไกอาส่งมา?” เขาพูดเสียงต่ำ เตรียมพร้อมต่อสู้
แมงป่องคำรามเสียงต่ำ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่โอริออนด้วยความเร็วที่น่าตกใจ โอริออนกระโดดหลบอย่างฉับไว และใช้ดาบฟาดไปที่ก้ามของมัน แต่เกราะของมันแข็งราวกับเหล็กกล้า ดาบของเขาเพียงสร้างรอยขีดข่วนเล็กน้อย
อาร์เทมิสเห็นเหตุการณ์จากระยะไกล นางรีบวิ่งเข้ามา แต่ถูกขวางไว้โดยร่างสีทองของอพอลโล
“หลีกทาง อพอลโล!” อาร์เทมิสตวาด “ข้าต้องช่วยเขา!”
“ไม่ได้” อพอลโลกล่าวเสียงเย็นชา “นี่เป็นโชคชะตาของเขา”
“เจ้าเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ใช่หรือไม่?” นางจ้องพี่ชายของตนด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “เจ้าเป็นคนส่งแมงป่องนี่มา?”
อพอลโลไม่ตอบ แต่เพียงแค่จ้องมองไปที่สนามรบข้างหน้า
โอริออนต่อสู้สุดกำลัง แต่แมงป่องยักษ์นั้นเร็วและแข็งแกร่งเกินไป ก้ามของมันฟาดโดนแขนของเขา เลือดสีแดงสดไหลอาบพื้นป่า แม้ว่าเขาจะล้มลง เขาก็ยังพยายามลุกขึ้นสู้
“ข้าจะไม่แพ้...” เขาพึมพำด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ก่อนที่หางพิษของแมงป่องจะพุ่งเข้าใส่เขา แทงทะลุร่างของเขา
อาร์เทมิสเบิกตากว้าง หัวใจของนางแทบหยุดเต้น “โอริออน!”
ร่างของโอริออนค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้น ลมหายใจสุดท้ายของเขาหลุดออกจากปาก แววตาของเขาอ่อนลง และรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้น
อาร์เทมิสพุ่งเข้ามากอดร่างของเขา น้ำตาหยดแรกในชีวิตของเทพีแห่งการล่าหยดลงบนแก้มของโอริออน
“เจ้ามิสมควรตายเช่นนี้...” นางกระซิบ
อพอลโลมองภาพนั้นโดยไม่พูดอะไร แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน เขารู้ว่าแผนของเขาสำเร็จ แต่กลับไม่รู้สึกถึงชัยชนะ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือขอบฟ้า ราวกับจะโอบกอดโอริออนไว้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่โชคชะตาจะนำเขาไปสู่ดวงดาราแห่งรัตติกาล…
บทที่ 6: เล่ห์กลของอพอลโล
เสียงของลมกลางคืนพัดผ่านยอดเขา เสียงคร่ำครวญของเทพีอาร์เทมิสดังก้องไปทั่วป่า นางกอดร่างไร้วิญญาณของโอริออนไว้แน่น ดวงตาสีเงินของนางฉายแววเจ็บปวดราวกับดวงจันทร์ที่กำลังหมองมัว
อพอลโลยืนอยู่ห่างออกไป สายตาของเขาจับจ้องฉากเบื้องหน้าด้วยความนิ่งสงบ แต่ในหัวใจของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่สับสน นี่คือสิ่งที่เขาต้องการใช่หรือไม่? การแยกอาร์เทมิสออกจากมนุษย์ที่เขาคิดว่าไม่ควรค่าแก่ความผูกพันของเทพีแห่งพรหมจรรย์
“ทำไม?” เสียงของอาร์เทมิสสั่นเครือ นางค่อย ๆ เงยหน้ามองพี่ชายของตน น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้?”
อพอลโลสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าเขาไม่มีคำตอบที่อาร์เทมิสต้องการ เขามิได้ตอบนางในทันที แต่กลับก้าวเดินเข้าไปช้า ๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยแววเด็ดเดี่ยว “เพราะข้าต้องปกป้องเจ้า”
“ปกป้องข้าหรือ?” อาร์เทมิสหัวเราะเยาะ นางลุกขึ้นยืน ดวงตาของนางเปล่งประกายแห่งความโกรธและความเศร้า “เจ้าปกป้องข้า... โดยการพรากสิ่งที่ข้ารักไป?”
อพอลโลหลบสายตานางชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นเทพีพรหมจรรย์ อาร์เทมิส เจ้าสาบานว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับความรัก แต่โอริออน... เขากำลังเปลี่ยนเจ้า และข้าจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”
“เจ้ากลัวอะไร อพอลโล?” นางถามเสียงสั่น “กลัวว่าข้าจะเปลี่ยนไป? หรือกลัวว่าข้าจะมีใครอื่นที่สำคัญกว่าสายสัมพันธ์ของเรา?”
อพอลโลเงียบไปชั่วขณะ คำพูดของอาร์เทมิสแทงเข้าไปในจิตใจของเขา แต่น้ำเสียงของเขายังคงหนักแน่น “ข้ามิอาจปล่อยให้มนุษย์ทำลายสิ่งที่เจ้าถือมั่นมาทั้งชีวิต”
อาร์เทมิสกำหมัดแน่น นางมองไปที่ร่างไร้ลมหายใจของโอริออน และความโกรธของนางก็ทวีขึ้น “เจ้าไม่ใช่ผู้กำหนดชีวิตข้า อพอลโล” นางกล่าวเสียงกร้าว “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำลายทุกสิ่งเพียงเพราะความอิจฉาและความกลัวของเจ้า”
อพอลโลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เขารู้ดีว่าไม่มีคำพูดใดที่สามารถเปลี่ยนใจอาร์เทมิสได้อีกแล้ว สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงยืนมองนางอย่างเงียบงัน
แต่อาร์เทมิสยังไม่จบ นางคุกเข่าลงข้างร่างของโอริออน มือของนางสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน นางหลับตาลง และเอ่ยคำอธิษฐานขึ้นมา “ข้าอ้อนวอนต่อบิดาแห่งโอลิมปัส ข้าขอให้โอริออนไม่ถูกลืม ขอให้เขาได้อยู่คู่ท้องฟ้า เพื่อข้าจะได้เฝ้ามองเขาตลอดกาล”
สายลมเย็นพัดผ่านร่างของนาง ดวงดาวเหนือท้องฟ้าเริ่มเปล่งแสงแรงขึ้น ร่างของโอริออนค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น และกลายเป็นประกายแห่งดวงดาราที่สว่างที่สุด
อพอลโลมองดูเหตุการณ์นั้นอย่างเงียบงัน ขณะที่อาร์เทมิสยืนขึ้น เงยหน้ามองกลุ่มดาวที่ปรากฏขึ้นใหม่บนท้องฟ้า น้ำตาของนางแห้งเหือดไปแล้ว แต่หัวใจของนางจะไม่มีวันลืม
แม้ว่าตอนนี้โอริออนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ไปแล้ว แต่อาร์เทมิสก็รู้ว่าไม่มีอะไรสามารถเติมเต็มความว่างเปล่าที่เหลืออยู่ในใจของนางได้อีกต่อไป...
บทที่ 7: โศกนาฏกรรมแห่งการล่าครั้งสุดท้าย
สายลมแห่งโชคชะตาพัดผ่านป่าแห่งเดลอส ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ทิ้งแสงสุดท้ายที่อาบย้อมผืนดินให้กลายเป็นสีทองส้ม แต่ภายในใจของเทพีอาร์เทมิส กลับมีเพียงความมืดมิดที่เกาะกินจิตใจนาง
ร่างของโอริออนได้จากไปแล้ว นางเฝ้ามองเขากลายเป็นกลุ่มดาวที่เปล่งประกายเหนือฟากฟ้า แต่กลับไม่มีอะไรทดแทนความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในหัวใจของนางได้ อาร์เทมิสก้าวเดินไปบนเส้นทางที่พวกเขาเคยล่าสัตว์ร่วมกัน ความเงียบงันรอบตัวดูโหดร้ายเหลือเกิน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง อาร์เทมิสหันไป พบว่าอพอลโลยืนอยู่ ดวงตาสีทองของเขาเย็นชา แต่ก็มีร่องรอยของความรู้สึกผิดซ่อนอยู่ลึก ๆ
“อาร์เทมิส...” อพอลโลเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“อย่าพูดอะไรทั้งนั้น” อาร์เทมิสตอบกลับเสียงแข็ง นางจ้องพี่ชายของตนด้วยสายตาแข็งกร้าว “เจ้าเป็นคนวางแผนทั้งหมดนี้”
อพอลโลถอนหายใจ เขารู้ดีว่าอาร์เทมิสจะไม่มีวันให้อภัยเขา แต่เขาต้องการให้เธอเข้าใจ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าเป็นเทพีพรหมจรรย์ เจ้าไม่อาจมีความรักต่อมนุษย์ได้”
“ความรักมิใช่สิ่งที่ต้องห้าม” อาร์เทมิสสวนกลับ “เจ้าต่างหากที่กลัว—กลัวว่าข้าจะมีใครที่สำคัญกว่าสายสัมพันธ์ของเรา”
อพอลโลเม้มริมฝีปากแน่น “ข้าเพียงต้องการปกป้องเจ้า”
“ปกป้องข้า?” นางหัวเราะขื่นขม “หรือเจ้าเพียงต้องการควบคุมข้า?”
ความเงียบครอบคลุมระหว่างพี่น้อง สายลมเย็นพัดผ่านราวกับเทพีแห่งโชคชะตากำลังรับรู้ถึงความแตกแยกที่ไม่อาจเยียวยาได้อีกต่อไป อาร์เทมิสหมุนตัวเดินจากไป นางไม่มีอะไรจะพูดอีก นางจะไม่มีวันให้อภัยอพอลโล
คืนวันนั้น อาร์เทมิสเฝ้ามองท้องฟ้าจากยอดเขาสูง กลุ่มดาวโอริออนเปล่งประกายอย่างสง่างาม แต่สำหรับนาง มันเป็นเพียงเครื่องเตือนใจถึงสิ่งที่นางสูญเสียไป นางยกมือขึ้น ลูบไล้สายลมราวกับจะสัมผัสร่องรอยสุดท้ายของโอริออน
“ข้าขอโทษ...” นางกระซิบเบา ๆ กับดวงดาว
และจากนั้น อาร์เทมิสก็สาบาน นางจะไม่มีวันปล่อยให้ใครพรากสิ่งที่สำคัญจากนางไปอีกแล้ว ไม่ว่าราคาที่ต้องจ่ายจะเป็นเช่นไร
บทที่ 8: คำอธิษฐานของเทพี
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านยอดเขา ท่ามกลางความเงียบงันของป่า อาร์เทมิสยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของนางจับจ้องไปที่กลุ่มดาวโอริออนที่เปล่งประกายอยู่เหนือฟากฟ้า ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความรู้สึกผิดที่มิอาจลบเลือนได้
นางคุกเข่าลงบนพื้นหญ้า ดวงจันทร์ส่องแสงอ่อนโยนลงมาปกคลุมร่างของนางราวกับกำลังปลอบประโลม อาร์เทมิสพนมมือขึ้น หัวใจของนางเปี่ยมไปด้วยคำอธิษฐานที่ยังคงไม่ได้เอื้อนเอ่ย
“บิดาแห่งโอลิมปัส... ซุสผู้ทรงอำนาจ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าขอวิงวอนท่าน ขอให้โอริออนไม่ถูกลืม ขอให้เขาได้อยู่บนฟากฟ้าชั่วนิรันดร์ เพื่อข้าจะได้เฝ้ามองเขาทุกคืน... เพื่อให้โลกจดจำชื่อของเขา”
สายลมพลันโหมกระหน่ำขึ้นมา แสงดาวส่องสว่างขึ้นเป็นพิเศษราวกับทวยเทพได้รับคำร้องขอของนาง เสียงของซุสดังก้องในท้องนภา แม้ไม่มีใครได้ยิน นอกจากเทพีแห่งการล่าเพียงผู้เดียว
“คำขอของเจ้าจักได้รับการตอบสนอง” เสียงทรงอำนาจของมหาเทพกล่าว “โอริออนจะอยู่บนท้องฟ้า ตราบนานเท่านาน เขาจะเป็นหนึ่งในดวงดาราที่สว่างที่สุด ให้โลกมนุษย์ได้เฝ้าดูและจดจำ”
อาร์เทมิสก้มศีรษะ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงสู่พื้นดิน ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม นางรับรู้ได้ว่า โอริออนจะไม่หายไปไหน เขายังคงอยู่ที่นั่น บนฟากฟ้า เฝ้ามองดูโลกเบื้องล่าง เช่นเดียวกับที่นางเฝ้ามองเขา
แต่ถึงแม้ร่างของเขาจะกลายเป็นดวงดาวแล้ว หัวใจของนางยังคงรู้สึกถึงความสูญเสีย นางเฝ้ามองดวงดาวโอริออนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงคำอธิษฐานที่กลายเป็นนิรันดร์
บทที่ 9: ดวงดาวของนักล่า
ท้องฟ้ายามราตรีกว้างใหญ่ ดวงดาวส่องประกายราวกับอัญมณีที่โรยตัวอยู่เหนือพรมแห่งความมืด แต่ท่ามกลางดาวนับล้าน กลุ่มดาวหนึ่งกลับเปล่งแสงเจิดจรัสที่สุด กลุ่มดาวโอริออน นักล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า
อาร์เทมิสยืนอยู่บนยอดเขาสูง นางเงยหน้ามองกลุ่มดาวนั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความคิดคำนึง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ทั้งความรัก ความเศร้า และความคิดถึงที่ไม่มีวันจางหาย
“โอริออน... เจ้ายังคงเฝ้ามองข้าอยู่ใช่หรือไม่?” นางกระซิบเสียงแผ่ว ราวกับหวังว่าคำพูดของนางจะเดินทางไปถึงท้องฟ้า
สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านร่างของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับเป็นคำตอบจากนักล่าผู้จากไป นางยิ้มจาง ๆ แม้จะยังรู้สึกถึงความสูญเสีย แต่นางก็รู้ว่าคำอธิษฐานของนางได้รับการตอบสนองแล้ว โอริออนจะไม่หายไปจากโลกนี้ เขาจะยังคงอยู่ เคียงข้างนางเสมอในยามค่ำคืน
บรรดานักเดินเรือ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้ฟากฟ้า ต่างเงยหน้ามองกลุ่มดาวโอริออน พวกเขาใช้มันเป็นจุดนำทางในการเดินทางอันยาวไกล บางคนกล่าวขานถึงตำนานของเขา เรื่องราวของนักล่าผู้เก่งกาจ และเทพีผู้โศกเศร้าที่ต้องสูญเสียสหายที่รักที่สุด
แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวของโอริออนยังคงถูกเล่าขาน ดวงดาวของเขายังคงส่องสว่างอยู่บนฟากฟ้า
อาร์เทมิสยิ้มให้กับความเงียบงัน นางยกมือขึ้นราวกับจะสัมผัสแสงดาว ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งร่องรอยของเทพีแห่งการล่าไว้เบื้องหลัง
ตั้งแต่นั้นมา ทุกค่ำคืนที่ดวงดาวโอริออนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของนักล่าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่มันคือหลักฐานของคำอธิษฐานที่ไม่มีวันเลือนหาย และความรักที่ถูกจารึกไว้บนผืนฟ้าตราบนิจนิรันดร์
บทที่ 10: ตำนานที่เล่าขาน
กาลเวลาผ่านไป โลกเปลี่ยนแปลง ผู้คนต่างเติบโตและล่วงลับ แต่ดวงดาวโอริออนยังคงเปล่งประกายอยู่บนฟากฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในตำนาน
เรื่องราวของโอริออนและเทพีอาร์เทมิสยังคงถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น นักปราชญ์และนักเดินเรือล้วนมองหากลุ่มดาวของเขาในยามค่ำคืน มันไม่เพียงแต่เป็นเครื่องนำทางในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความรักและความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของเทพีแห่งการล่า
บางคนกล่าวว่า ในคืนที่ฟ้ากระจ่าง หากเงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงกระซิบของสายลมที่พัดผ่านยอดไม้ เป็นเสียงแห่งคำอำลาของอาร์เทมิสที่ยังคงเฝ้ามองโอริออนอยู่จากเบื้องล่าง
ในบางคืนที่ดวงดาวส่องแสงเจิดจ้าเหนือท้องฟ้า ผู้เฒ่าผู้แก่จะเล่าเรื่องราวของโอริออนให้เด็ก ๆ ฟังถึงนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ ยกเว้นโชคชะตาของตนเอง และเทพีที่สูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปเพราะเล่ห์กลของพี่ชายของนางเอง
แม้ว่าความเศร้าโศกจะเป็นส่วนหนึ่งของตำนานนี้ แต่ก็เป็นเรื่องราวของเกียรติยศ ความกล้าหาญ และความผูกพันที่ไม่เคยจางหาย ตราบใดที่ดวงดาวโอริออนยังคงส่องสว่างบนท้องฟ้า ชื่อของเขาจะไม่มีวันถูกลืม
เทพีอาร์เทมิสยังคงออกล่าสัตว์ในยามค่ำคืน ดวงจันทร์เป็นเพื่อนของนาง แต่ดวงดาวโอริออนยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงสิ่งที่นางเคยมี และสิ่งที่นางได้สูญเสียไป
สุดท้ายแล้ว ตำนานของโอริออนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของนักล่าผู้เก่งกาจเท่านั้น แต่เป็นเรื่องราวของความรักที่มิอาจสมหวัง และโชคชะตาที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้
และทุกค่ำคืนที่ดวงดาวโอริออนส่องประกายเหนือขอบฟ้า มันจะคงอยู่เป็นนิรันดร์...







