ภาวะคลั่งไคล้การทำงานหนัก Toxic Productivity เมื่อโลกเชิดชูคนที่ทำงานหนัก ฉันจะต้องเก่งขึ้น! หยุดคิดถึงงานไม่ได้ พักผ่อนหย่อนใจไม่ได้สักนาทีเดียว
Toxic Productivity หรือ ภาวะคลั่งไคล้ความ Productive รู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ เชื่อว่าเป็นคนที่เก่งขึ้นกว่านี้ได้ ทำให้มากขึ้นกว่านี้ได้ ทำงานหนักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิด จนไม่สนใจอีกเลยว่าได้ทำอะไรสำเร็จแล้วบ้างถ้าทำไม่ได้ ก็จะจมอยู่ในห้วงความรู้สึกผิดกับตัวเอง ลืมคิดถึงผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมและไม่รู้สึกผิดต่อตนเอง
4 สัญญาณเตือนว่ากำลังเข้าสู่ภาวะคลั่งไคล้การทำงานหนัก Toxic Productivity
1.ทำงานหนักเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หรือความไม่สบายใจบางอย่าง พยายามทำงานหนักเพื่อให้ลืมช่วงเวลาที่ไม่อยากนึกถึง ใช้ความสำเร็จจากการทำงานเติมเต็มความไม่สบายใจ หรือปัญหาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิด ปัญหาทางการเงิน หรือแม้กระทั่งใช้งานเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธความสัมพันธ์ต่าง ๆ
2.พร้อมทำงานทุกเมื่อ ร่างกายและสมองไม่มีกลไกปิดสวิตช์การทำงาน แม้ว่าจะทำอย่างอื่นอยู่ ก็พร้อมกระโจนกลับไปทำงานทุกเมื่อหากมีเหตุฉุกเฉิน หรือต่อให้ไม่มีเหตุฉุกเฉิน แต่ก็คอยมอนิเตอร์งานอยู่ตลอด อย่างเช่น เช็กไลน์ เช็กอีเมล เพราะกลัวจะพลาดอะไรไป
3.มองว่าคุณค่าตัวเองขึ้นอยู่กับเนื้องาน รู้สึกว่าตัวเองจะมีค่าก็ต่อเมื่อได้สร้างผลงานดี ๆ ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่ความจริงคุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ผูกพันกับแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์ ชีวิตประจำวัน ความสนใจก็ล้วนเป็นส่วนประกอบของคุณค่าในตัวเราทั้งนั้น
4.ให้ความสำคัญกับการทำงานจนละเลยสิ่งต่าง ๆ มองว่า งาน คือ ทุกอย่างของชีวิต เป็นสิ่งสำคัญที่สุด จนลืมที่จะใส่ใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ลืมว่าชีวิตหนึ่งเราไม่ได้มีแค่บทบาทของพนักงาน แต่เรายังมีฐานะเป็นเพื่อน เป็นลูกของพ่อแม่ และเป็นมนุษย์ที่ต้องการเวลาพักผ่อนให้กับตัวเอง
ผลเสียของ Toxic Productivity
- ไม่มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจให้ตัวเอง
- ลดประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ ลงอย่างมาก
- ทำให้ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวห่างเหินยิ่งขึ้น
- ทำให้ไม่สามารถสร้างมิตรภาพในที่ทำงานได้
- รู้สึกเหนื่อยล้าและเบิร์นเอาต์ได้
วิธีเอาตัวรอดจาก Toxic Productivity
1.มองหาสัญญาณของปัญหา สำรวจตัวเองว่าเข้าข่าวภาวะ Toxic Productivity หรือไม่ ลองสังเกตพฤติกรรมชีวิตประจำวันของตัวเอง อย่างเช่น รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา นอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นมาไม่สดใส ใช้เวลากับงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง หรือการประชุมใด ๆ มากเกินความจำเป็น เพราะลึก ๆ แล้วอยากให้คนอื่นรับรู้ว่าเรากำลังทำงานหนัก
ลองมานั่งคิดดูว่า
- เราตกหลุมพรางของค่านิยมที่เชิดชูการทำงานหนักไปมากแค่ไหนแล้ว?
- เราทำงานหนักจนลืมใช้ชีวิตด้านอื่นเกินไปหรือเปล่า?
- ยอมรับอย่างจริงใจว่า ชีวิตของเราจะต้องมีปัญหาแน่ ๆ
สิ่งที่ต้องค้นหาต่อไป คือ อะไร เป็นสิ่งที่สังคมบอกเราว่าสำคัญ และอะไร เป็นสิ่งที่สำคัญจริง ๆ สำหรับชีวิตของเรา เพื่อให้เรารักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนอื่นที่ต้องเรียนรู้ได้ดีขึ้น
2.หยุดตั้งคำถามทำนองว่า “ตอนนี้ฉันควรทำอะไรกันแน่?”
- หยุดเพิ่มภาระหน้าที่ หรือ ความรู้สึกผิดโดยไม่จำเป็น เมื่อทำงานชิ้นหนึ่งจบ ก็ไม่จำเป็นต้องกระโดดไปทำชิ้นต่อไปในทันที ให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนบ้าง
- เลิกถามตัวเองสักทีว่า ‘ตอนนี้เราควรจะหาอะไรทำดี?’
- เมื่อทำงานจนเสร็จ ควรมอบรางวัลให้กับตัวเองด้วยการพักผ่อน ไม่ใช่คิดต่อไปว่า เราควรจะหาอะไรทำดี?
ลองเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น ‘เราจะไปทำอะไรเพื่อพักผ่อนหย่อนใจดีนะ’ เพื่อให้เราตัดชีวิตการทำงานออกไปในช่วงเวลาที่เราต้องพักผ่อนอย่างสิ้นเชิง และเพื่อเตรียมพร้อมให้เราเริ่มต้นทำงานในวันใหม่อีกครั้ง
3.เจ้านายไม่ได้สนใจคุณตลอดเวลาอย่างที่คิด
อย่าไปสนใจว่า เจ้านายจะเห็นคุณค่าจากการทำงานหนักของคนอื่นมากกว่าเราหรือไม่ เขาไม่ได้สนว่าคุณจะใช้เวลาทุ่มเทให้งาน 8 ชั่วโมงหรือ 24 ชั่วโมง ตราบใดที่ผลลัพธ์ออกมาไม่ต่างกัน
ใช้ชีวิตให้มีความสุข ชีวิตของเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานอย่างเดียวและจากไป ยังมีอะไรอีกหลายด้านให้ค้นหา แค่เพียงเรารับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย และส่งงานตามกำหนดเวลาครบถ้วนก็เพียงพอแล้ว
4.รักตัวเองให้มาก
รักตัวเองด้วยการใส่ใจชีวิตประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น การกินข้าวให้ครบ 3 มื้อ หาเวลาไปออกกำลังกายบ่อย ๆ รู้จักแยกแยะชีวิตส่วนตัวและชีวิตงาน “งานเป็นงาน เรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนตัว!” งานไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต หลังจากเหนื่อยล้าจากการเป็นพนักงานที่ดีมาตลอดทั้งวัน อย่าลืมเป็นคนที่ดีของตัวเองด้วยนะ
5.เปลี่ยน ‘Toxic Productivity’ ให้เป็น ‘Professional Detachment’
ทักษะสำคัญที่จำเป็นต้องฝึกฝน คือ Professional Detachment หรือ ทักษะในการแยกอารมณ์ และ ความรู้สึกของตัวเองออกจากงาน เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจด้วยหลักเหตุและผล
ทักษะนี้ จะช่วยให้เราจัดการอารมณ์และความรู้สึกแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานได้ดีขึ้น แบ่งแยกชีวิตการทำงาน และ ชีวิตส่วนตัวออกจากกันได้อย่างชัดเจน รักษาสมดุลระหว่างการทำงาน และ การพักผ่อนให้มีความสุข
6.อย่าถูก ‘วัฒนธรรมเร่งรีบ’ กลืนกิน
หมั่นถามตัวเองเสมอว่า
- เราต้องการอะไร
- เราเหมาะสมกับอะไร
- สิ่งไหนสำคัญกับเราจริง ๆ
ระลึกไว้เสมอว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่าง หรือ เป็นทุกอย่างที่สังคมต้องการ ให้ความสำคัญกับ ‘ความสมดุลในชีวิตให้มาก ๆ’ อย่ากระโดดเข้าไปทุกอย่างที่สังคมชี้นิ้วบอก





















