เมื่อมีเพศสัมพันธ์ “ฝ่ายรุก” หรือ “ฝ่ายรับ” ฝ่ายไหนมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีมากกว่ากัน
ความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปริมาณสารคัดหลั่งที่สัมผัส เช่น เลือด และ สารคัดหลั่งที่มีเลือดปนจะมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อเอชไอวีมากที่สุด รองลงมาคือ น้ำอสุจิ น้ำคร่ำ น้ำในช่องคลอด ส่วนที่มีความเป็นไปได้น้อยมาก ๆ หรือ แทบจะไม่มีเลยคือ น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำมูก และ เสมหะถ้าไม่ได้มีเลือดปนอยู่ด้วย
จากการศึกษาได้เปิดเผยตัวเลขประมาณความเสี่ยงในการได้รับเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
1.มีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด คู่นอนที่มีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด
ฝ่ายรับ ที่เป็นเพศหญิง จะมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อเอชไอวีถึง 8 ใน 10,000 ครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ฝ่ายรุก ที่เป็นเพศชาย จะมีความเสี่ยงเพียงแค่ 4 ใน 10,000 ครั้ง หรือ มีความเสี่ยงครึ่งหนึ่งของฝ่ายรับ
2.มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก นอกจากจะเป็นคู่ชายรักชายแล้ว ปัจจุบันพบว่าคู่รักชายหญิง คู่รักหญิงหญิงก็มีรสนิยมทางเพศทางทวารหนักเช่นกัน
ฝ่ายรับ ไม่ว่าจะเป็น ชาย หรือ หญิง ก็มีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อเอชไอวีมากถึง 138 ใน 10,000 ครั้ง
ฝ่ายรุก ที่เป็นเพศชายมีความเสี่ยงเพียง 11 ใน 10,000 ครั้ง เท่านั้น
3.มีเพศสัมพันธ์ทางปาก อย่างที่ทราบกันดีว่าการมีเพศสัมพันธ์นั้นสามารถร่วมรักทางปากได้ด้วย ซึ่งความเสี่ยงในการได้รับเชื้อเอชไอวี ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายรับ หรือ ฝ่ายรุก มีตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงนั้นคือศูนย์ เพราะถ้าปากมีเลือดออก มีแผล เหงือกอักเสบ ก็สามารถเป็นทางเข้าเชื้อเอชไอวีได้เช่นเดียวกัน
ส่วนสาเหตุที่การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อที่สูงกว่าช่องทางอื่น เพราะ ทวารหนักบอบบาง มีสารหล่อลื่นน้อย ทำให้เกิดการบาดเจ็บ และ การฉีกขาดบริเวณทวารหนักจนเกิดแผลได้ง่าย รวมไปถึงมีเซลล์ต่าง ๆ ที่สามารถติดเชื้อเอชไอวีได้ง่าย ทำให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อจึงมีมากกว่าช่องทางอื่น
คู่รักทุกเพศ ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใด การให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากเกิดติดโรคขึ้นมาความสุขที่เคยมีก็อาจกลายเป็นความทุกข์
อย่างไรก็ตามแม้การตรวจสุขภาพจะช่วยให้อุ่นใจได้ในการลดความเสี่ยงแต่ในบางกรณีอาจตรวจไม่พบเชื้อ ด้วยเชื้อจะมีการหลบซ่อน หรือ อาจได้รับเชื้อภายหลังเมื่อผ่านการตรวจไปแล้ว จึงทำให้เกิดความเสี่ยงได้อยู่ดี ดังนั้น ในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งจึงควรสวมถุงยางอนามัยเสมอ เพราะ การสวมถุงยางอนามัยจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้มากกว่า 90% ไม่ว่าจะเป็น HIV ซิฟิลิส หนองในแท้หนองในเทียม รวมถึงโรคอื่นๆ อีกหลายโรค
อ้างอิงจาก: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/รุก-
%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a-
%e0%b8%9d%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%84%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9
%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88/
https://www.phyathai.com/th/article/4000-
%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8
%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0
%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99





















