เรื่องของฝ้า (Melasma) จุดสีด่างบนใบหน้า
ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
กลไกหลักของการเกิดฝ้า คือ การได้รับรังสี UV รวมถึงความเสี่ยงอื่น ๆ ที่ไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้มีการผลิตเม็ดสี (melanin) เพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดเป็นรอยฝ้า เดิมทีกระบวนการสร้างเม็ดสีเกิดจากเซลล์ผิวหนังเมลาโนไซต์ (Melanocytes) จะมีสารมากมายเป็นส่วนประกอบ หนึ่งในนั้นคือ เอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเอนไซม์ชนิดนี้มีคุณสมบัติเปลี่ยนสารในเซลล์ผิวหนังให้กลายเป็นเม็ดสี ซึ่งความรุนแรงของการสร้างเม็ดสีอาจเกิดได้หลายระดับ ตั้งแต่ผิวหนังเกิดรอยสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงเทา จึงเป็นต้นเหตุของจุดสีด่างบนใบหน้า
กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดฝ้า
- อายุและเพศ มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายมัก เริ่มพบในคนที่มีอายุระหว่าง 30‒40 ปี
- เชื้อชาติเอเชีย แอฟริกัน ละติน (Hispanic)
- ผู้ที่สัมผัสแสงแดดเป็นประจำ (รังสี UV และรังสีอื่น ๆ) เพราะส่งผลให้เซลล์ผิวหนังเมลาโนไซต์ทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยตำแหน่งที่เกิดฝ้ามักเป็นบริเวณที่โดนแดด ได้แก่ โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก หน้าผาก คาง
- การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อเนื่อง จากการกินยาคุม หรือ การตั้งครรภ์
จุดสีด่างบนใบหน้า เป็นฝ้าทุกกรณีหรือไม่?
- ไม่เสมอไป ฝ้าจะมีลักษณะสมมาตร ขอบเขตไม่สม่ำเสมอ สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม สีเทา มักเกิดบริเวณใบหน้าในส่วนที่รับแสงแดด เช่น โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก หน้าผาก คาง
- ผื่นดำที่หน้าสาเหตุอื่นที่พบบ่อย ได้แก่ กระตื้น กระลึก ปานแดด ปานแต่กำเนิด รอยดำหลังการอักเสบ เป็นต้น
วิธีการป้องกันและรักษาฝ้า
- หลีกเลี่ยงแดดจัด (ช่วงเวลา 10.00-14.00 น.) หมั่นทาครีมกันแดดที่มีค่ากันรังสี UV SPF50 PA+++ และสามารถกันแสงชนิดอื่นร่วมด้วยได้ เช่น visible light จะเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันได้มากขึ้น
- การเลือกใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวสำหรับกลางวัน ควรเลือกชนิดที่มีสารกันแดดเป็นส่วนประกอบ เพื่อเป็นการป้องกันผิวจากแสงแดดไปในตัว
- หลีกเลี่ยงการกินยาคุมกำเนิด ให้เลือกใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นแทน ควรปรึกษาสูติแพทย์ร่วมด้วย
- ทายารักษาฝ้า เช่น ยาในกลุ่ม hydroquinone, tretinoin, corticosteroid (แต่จะต้องใช้ในการควบคุมของแพทย์) หรือยาที่มีส่วนประกอบของ glycolic acid, kojic acid, azelaic acid
- การผลัดผิวด้วยกรดอ่อน เช่น กรด AHA, กรด Salicylic
- การกินยาในกลุ่ม Transamine หรือ การฉีดยาในกลุ่ม Transamine เข้าไปที่บริเวณฝ้า (เมโส) มีหลายงานวิจัยพบว่าได้ผลการรักษาที่ดี
- การใช้เลเซอร์ต่าง ๆ แต่ผลการรักษาบ่งชี้ว่าดีขึ้นในบางรายเท่านั้น บางรายอาจมีรอยดำหรือรอยแผลเป็นหลังเลเซอร์ได้ (ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินถึงความเหมาะสมในการทำเลเซอร์ทุกครั้ง)
ปัจจุบันยังไม่พบวิธีการรักษาที่ทำให้ฝ้าหายขาด การรักษาทำให้ฝ้าจางลงใกล้เคียงสีผิวปกติและสามารถคงสภาพเดิมได้ยาวนานตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการป้องกันแสงแดด รวมถึงลดปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรมีการปกป้องผิวอีกชั้นเมื่อต้องเจอกับแสงแดดแรงโดยตรงบริเวณใบหน้า เช่น การกางร่ม สวมหมวก หรือ สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังได้อย่างมิดชิด















