สุขภาพจิตของผู้ชาย Mental Health ปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้ในผู้ชาย
Mental Health หรือ สุขภาพจิต คือ ภาวะที่จิตใจเป็นสุข สามารถปรับตัวแก้ไขปัญหา ดำเนินชีวิตประจำวันได้ มีความรู้สึกดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ในสังคม และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่รู้สึกอึดอัดใจ
Mental Health Foundation ประเทศอังกฤษ ระบุว่า ผู้ชายไม่ค่อยพูดถึงปัญหาสุขภาพจิตของตัวเองกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว และบางคนอาจเลือกใช้ยาเสพติด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือทำงานหนัก เพื่อแก้ปัญหาความเครียด หรืออาการซึมเศร้า
ผลการศึกษาชิ้นหนึ่ง เรื่องผู้ชายและความอับอายต่อการมีปัญหาสุขภาพจิต ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Men’s Health ปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า ปัญหาสุขภาพจิตในผู้ชายมักไม่ได้รับการรักษา เนื่องจากผู้ชายไม่นิยมไปพบคุณหมอเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพจิตเหมือนผู้หญิง เนื่องมาจากอิทธิพลของสังคมที่มีแนวคิดชายเป็นใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุให้อาการของโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลแย่ลงด้วย
ในรายงานชิ้นเดียวกัน ระบุว่า โรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในผู้ชายอเมริกัน โดยในแต่ละปี มีผู้ชายอเมริกันจำนวนประมาณ 6 ล้านคนได้รับผลกระทบจากโรคซึมเศร้า
Mental Health ที่พบได้ในผู้ชาย
1.โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางด้านอารมณ์ มีสาเหตุมาจากการลดลงของสารเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง ส่งผลให้รู้สึกเศร้าตลอดเวลา ต้องการอยู่คนเดียว ปวดหัวหรือปวดตามตัว ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน และรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย
2.โรควิตกกังวล เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อย่างเช่น พันธุกรรม การทำงานของสมองที่ผิดปกติ การเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียด อาการของโรค คือ ขี้ตระหนก หวาดกลัว จิตใจไม่สงบ นอนไม่หลับ คลื่นไส้ หายใจลำบาก และคิดถึงปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตระบุว่าผู้ป่วยโรควิตกกังวลในไทย อยู่ที่ประมาณ 1.4 แสนคน เป็นโรคหนึ่งที่พบมากที่สุดและสาเหตุอาจมาจากพันธุกรรม สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู
3.โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) จะมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง บางครั้งรู้สึกหดหู่ใจ เศร้า สิ้นหวัง หมดความสนใจกับกิจกรรมตรงหน้า ในขณะที่บางเวลากลับมีความสุข สนุก หรือร่าเริง ทั้งนี้ ทางการแพทย์สันนิษฐานว่า โรคอารมณ์สองขั้วเกิดจากสารเคมีในสมองเสียสมดุล อาการไบโพล่า หากปล่อยทิ้งไว้นาน โดยที่คนไข้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อันตรายมาก เพราะสามารถนำไปสู่การฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่นได้
4.โรคเครียดหลังเหตุสะเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder หรือ PTSD) อาการที่เกิดจากการผ่านเหตุการณ์ที่รุนแรง เรื่องราวที่เลวร้ายมาก ๆ ภาพติดตา ภาพฉายซ้ำ หลอน วิตกกังวลรุนแรง อาจทำให้เกิดอาการแพนิคได้ มองโลกในแง่ลบ อย่างเช่น ภาวะสงคราม เหตุการณ์สึนามิ อุบัติเหตุรุนแรงต่อหน้า สูญเสียคนรักไปอย่างกระทันหัน อาการของภาวะนี้ คือ นอนไม่หลับ ฝันร้าย รู้สึกหมดหวังต่ออนาคต อ่อนไหว ไม่สนใจสุขภาพหรือชีวิตตัวเอง ก้าวร้าว และหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสถานที่ กิจกรรม หรือผู้คนที่ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์รุนแรงในอดีต
เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ
- โมโห หงุดหงิด หรือก้าวร้าวกว่าปกติ
- เบื่ออาหาร
- นอนไม่หลับหรือนอนมากกว่าปกติ
- หมดแรง
- ไม่มีสมาธิกับกิจกรรมตรงหน้า
- รู้สึกเศร้าหมดหวัง
- มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย
- อยากทำกิจกรรมที่เสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพ อย่างเช่น ขับรถเร็ว ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- ปวดหัว ปวดตามร่างกาย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
- มีความคิดหรือพฤติกรรมแปลกแยกที่ส่งผลเสียต่อการงาน ครอบครัว และการเข้าสังคม
วิธีเสริมสร้างสุขภาพจิตดี
- ฝึกตนเองให้มองโลกในความเป็นจริง มีเหตุผล และฝึกคิดในแง่บวก ประโยชน์มากกว่าแง่ลบ ช่วยให้ไม่วิตกกังวลมากจนเกินไป
- ไม่ตั้งความหวังมากจนเกินไป ซ้อมรับมือกับความผิดหวัง หากตนเองต้องเผชิญในสถานการณ์จำเป็น
- สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
- มีความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นเป็นอย่างดี
- มีความตั้งใจ สมาธิจดจ่อ อยู่กับสิ่งที่ต้องการได้ อย่างเช่น การทำงาน การเรียนหนังสือ
- รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น พร้อมทั้งไม่หวาดระแวง
- ใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข ไม่เกิดความเครียดจนเกินไป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3-4 วัน/สัปดาห์ ครั้งละ 30-60 นาที เพื่อช่วยเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทไม่ให้บกพร่อง
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ไม่ให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง เช่น Magnesium, Vitamin B, เสริมโพรไบโอติกส์ที่ดีต่อลำไส้ จากนมเปรี้ยว โยเกิร์ต ช่วยปรับสมดุลลำไส้ จากเชื้อรา ยีสต์ แบคทีเรีย ที่หากสะสมมาก ๆ เชื้อเหล่านี้จะส่งผลให้ร่างกายเครียด ไม่นอนดึก นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน เพื่อช่วยเสริมสร้างกระบวนการฟื้นฟูขณะนอนหลับ ลดภาวะการทำงานของฮอร์โมนบกพร่อง











