บัญชีที่ไม่มีใบเสร็จ (เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ดังตฤณ)
คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าหากฝากเงินแล้วไม่มีสมุดบัญชีจากธนาคารให้ดู ถอนเงินก็ไม่มีใบบันทึกรายการให้เห็น พูดง่ายๆ คือคุณไม่รู้เลยว่ายอดเงินในบัญชีตัวเองเหลืออยู่เท่าไหร่ จะใช้ไปได้อีก
นานแค่ไหน นี่คงเป็นเรื่องยอมไม่ได้ในโลกที่มนุษย์อาศัยกันและกันทำธุรกรรม ธนาคารไหนไม่มีเอกสารแสดงรายการให้ดูว่าฝากเท่าไหร่ ถอนไปมากน้อยเพียงใด ก็คงแปลว่าธนาคารบริหารโดยคนสติไม่ดีเท่านั้น
แต่ในโลกของนามธรรม ของแบบนี้มีอยู่จริงๆ ครับ แถมเป็นธนาคารสำคัญอันดับหนึ่งในจักรวาลเสียด้วย นั่นคือธนาคารกรรม ธนาคารนี้ไม่มีสมุดบันทึกกรรมให้ดู คุณทำกำไรเท่าไหร่ ใช้จ่ายไปแค่ไหน ไม่มีใบเสร็จสักใบ แถมตัวคุณเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่าของกรรม เขาวัดกันเป็นหน่วยอย่างไร กำไรและขาดทุนจึงเสมือนไม่อาจปรากฏให้รับรู้ได้ด้วยวิธีใดๆ คนส่วนใหญ่พอไม่มีใบเสร็จให้ดูก็ไม่มีกำลังใจ เห็นแต่ว่าทำแล้วหาย ทำแล้วหาย... ตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย แตกต่างจากการลงเงินไปในการทำธุรกิจซึ่งเป็นรูปธรรม ถึงแม้ลงทุนแบบเตรียมใจว่าจะเป็นเงินจม ไม่โผล่ให้เห็นสัก ๕ ปี แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าทุนนั้นยังอยู่ ไม่หายไปไหน ตรวจสอบได้ด้วยวิธีที่แน่นอนในทางใดทางหนึ่ง
แม้แต่ความทรงจําอันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะบันทึกกรรมได้ ก็มีความไม่เที่ยงเสียอีก เคยไหมครับที่เพื่อนคุณมาทวนเรื่องราวบางอย่างในอดีตให้ฟัง แต่คุณต้องทำหน้างง นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก อาจเถียงคอเป็นเอ็นด้วยซ้ำว่าไม่เคยคิด ไม่เคยพูด ไม่เคยทำ ไม่อยู่ในความจําแม้แค่เงารางเลื่อน พอพูดถึงกรรมวิบาก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนเรามักนึกเป็นเรื่องๆ เช่นเคยชกกับศัตรูหัวหูเปิด เคยด่าว่าก้าวร้าวพ่อแม่จนร้องห่มร้องไห้ หรือเคยลักขโมยคดโกงชาวบ้านให้เขาเดือดร้อน แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเท่าไหร่ คนเราอยากเห็นกรรมวิบากชนิดทันตาเห็นใน ๓ วัน ๗ วัน แต่ธรรมชาติกรรมวิบากไม่บริการให้ทันใจ เพราะมัวบริการคิวที่เป็นกุศลก่อนเสียเนิ่นนาน อย่างนี้ใครที่ไหนจะไปเชื่อว่ากรรมวิบากมีจริง หรือถ้าเห็นกรรมทันตาแบบนานทีปีหนก็ไร้ความหมาย เพราะคนต้องนึกว่าฟลุกอีกอยู่ดีพอบวกๆ กัน สรุปแล้วลงเอยคือคนทั่วไปคงต้องนึกเหมือนๆกันว่ากรรมที่ทำไปแล้วเป็นของสูญ แม้ใจไม่คิด แม้ปากไม่พูด แต่ความรู้สึกลึกๆ ภายในก็คงเป็นเช่นนั้น จึงกลายเป็นหนึ่งในพวกที่ขาดศรัทธาในศาสนา ขอมีชีวิตอยู่ไปวันๆ เอาตัวรอดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบฉากชีวิต ยากนักที่มีชีวิตปกติอยู่ดีๆ แล้วให้นั่งทบทวนว่าชีวิตนี้เตรียมอะไรเป็นเสบียงสำหรับเดินทางไกลต่อไว้บ้างแล้ว
สำหรับปุถุชนทั่วไปที่ไม่มีสมาธิผ่องแผ้วพอจะดูเข้าไปให้เห็นระดับชั้นหรือ “ภูมิจิต” ของตนว่ามีที่ไปสูงหรือต่ำกว่าความเป็นมนุษย์ ความจริงก็พอจะมีใบเสร็จอยู่ แต่เป็นใบเสร็จใบโตที่บอกคุณสั้นๆเพียงว่าชาตินี้ “กำไร” หรือ “ขาดทุน
ตามหลักการค้าขายพื้นฐาน เรามีต้นทุนอยู่ ๑๐๐ ค้าขายแล้วได้เงินคืนมา ๑๒๐ ก็แปลว่ากำไร ๒๐ แต่ถ้าต้นทุนมีอยู่ค้าขายแล้วได้เงินคืนมาเพียง ๘๐ บาท อย่างนี้ก็แปลว่าขาดทุน ๒๐ เช่นกัน ถ้าจะดูว่าชาตินี้คุณกำไรหรือขาดทุน ก็ต้องดูว่า“ทุนเก่า” มีอยู่แค่ไหน แล้วดูว่าคุณใช้ทุนนั้นทำความงอกเงยขึ้นมาหรือว่าหดหายลงไปเพียงใด คือเทียบกับผลที่จะเกิดขึ้นชาติต่อไปว่าดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าที่กำลังเป็นอยู่
คุณอาจกังขาว่าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชาติหน้าดีขึ้นหรือแย่ลงแค่ไหน? เป็นไปไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้มีกำลังจิต แล้วก็ไม่ได้ฝึกนั่งทางในดูตัวเอง
ความจริงคือเป็นไปได้ครับ โดยอาศัย ขณะใกล้กับชาติหน้ามากที่สุด” ซึ่งก็คือปัจจุบันขณะนี่เอง! ขอให้ดูเถิดว่าสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ ปรากฏชัดกับใจเพียงใด แล้วใช้เป็นเครื่องชี้บอกเถิด
๑) ระดับความอุ่นใจคุณอาจไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน แต่ขอให้ทราบเถิดครับว่าคนเรามีความอุ่นใจไม่เท่ากัน นับแต่เริ่มจำความได้มาเลยทีเดียว
เด็กบางคนมีความเชื่อมั่นในส่วนลึกว่าตนจะมีความสุขไปเรื่อยๆ ในขณะที่เด็กบางคนมีแต่ความหดหูและหวาดกลัวคุณอาจคิดว่าใช่สิ ถ้าอยู่ในครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เป็นสุข ก็ย่อมมีความอุ่นใจ ถ้าอยู่ในครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เป็นทุกข์ ก็ย่อมมีความหดหูและหวาดกลัวเป็นธรรมดา
นั่นแหละครับ ตัวนั้นเลย ตอนเป็นเด็กนี่กรรมเก่าจะแสดงฤทธิ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นอย่างเดียว คำถามคือทำไมเด็กแต่ละคนมาอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพ่อแม่ที่แตกต่างกัน? คำตอบก็คือกรรมเก่านั่นเองส่งมาอยู่กับครอบครัวแบบหนึ่ง สภาพแวดล้อมแบบหนึ่งๆ ความรู้สึกยามเด็กของคนๆ หนึ่งจะชี้ได้ค่อนข้างชัดว่ากำลังเสวยวิบากด้านที่เป็นกุศลหรือว่าอกุศล หากหนักไปข้างกุศลจะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย
หากหนักไปข้างอกุศลจะรู้สึกห่อเหี่ยวเหมือนตกอยู่ในอันตราย ทุนเริ่มต้นเป็นผู้มีความอุ่นใจระดับใดก็ตาม เมื่อใช้ชีวิตไประยะหนึ่งจนโตเต็มตัว ให้ดูว่าความอุ่นใจเพิ่มขึ้นหรือลดลง ถ้ารู้สึกอุ่นใจเท่าเดิมแปลว่าเสมอตัว ถ้าอุ่นใจมากยิ่งๆ ขึ้นแปลว่าคุณกำลังอยู่ในเส้นทางกุศล แต่ถ้าอุ่นใจน้อยลงก็แปลว่าคุณกำลังอยู่ในเส้นทางลงเหว ความจริงนี้เป็นสัจจะเสมอ ผู้สั่งสมบุญย่อมเกิดสุขทางใจ ผู้สั่งสมบาปย่อมเป็นทุกข์ทางใจ
คนสั่งสมบุญมากๆ นั้น แม้ว่าฐานะยากจนก็อุ่นใจยิ่งกว่าเศรษฐีหมื่นล้าน ตรงข้ามกับคนสั่งสมบาปไว้เยอะๆ แม้ฐานะร่ำรวยก็ประหวั่นหวาดได้ยิ่งกว่านักโทษผู้หลบหนีอาญาเสียอีก ขอให้ดูดีๆว่าความอุ่นใจนั้นไม่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนั้นขอให้แยกให้ออกด้วย ว่าความสุขอันเกิดจากการเสพเครื่องบำรุงกามคุณ ๕ นั้น เป็นคนละเรื่องกับความอุ่นใจ ลองดูตอนอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่งให้ยินดียินร้าย มองใจตัวเองว่าภาพรวมใหญ่ๆ อันนั้นแหละ ถ้าอุ่นใจขึ้นมาเองก็ใช่ที่ผมพูดถึงในข้อนี้ครับ
๒) ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
ถ้าเดิมที่คุณถูกคนรอบข้าง รวมทั้งตัวคุณเอง ตัดสินว่าเกิดมารูปไม่งาม เสียงไม่ไพเราะ กลิ่นตัวเหม็นน่ารังเกียจผิดปกติผิวพรรณหยาบกระด้าง แล้วต่อมาคุณไม่ได้ไปตกแต่งด้วยวิทยาการ
หรือเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ใดๆ ปรากฏว่าคนรอบข้างรวมทั้งตัวคุณเอง เห็นไปใหม่ว่ารูปร่างหน้าตาดูดีขึ้น เสียงฟังดีขึ้น กลิ่นตัวไม่เหม็นชนิดน่ารังเกียจ ผิวพรรณละมุนหรือผ่องใสขึ้น อันนั้นพอใช้เป็นเครื่องตัดสินได้เหมือนกัน ว่ากำลังอยู่บนเส้นทางทำกำไรมหาศาล
ที่ตัดสินเช่นนี้เพราะผลที่ปรากฏทันตาทางกายภาพนั้น ไม่ใช่เห็นกันง่ายๆ คุณต้องพลิกเปลี่ยนนิสัย หรือวิธีปฏิบัติจากอกุศลเป็นมหากุศลอย่างต่อเนื่องจริงๆ ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจึงปรากฏชัด คนส่วนใหญ่กำลังใจไม่ค่อยมากพอจะคิด พูดที่เป็นบุญเป็นกุศลกันต่อเนื่องเท่าใดหรอกครับ
แต่หากเดิมที่คุณถูกคนรอบข้าง รวมทั้งตัวคุณเอง ตัดสินว่าโชคดี เกิดมารูปงาม เสียงเพราะ กลิ่นกายหอม ผิวพรรณละเอียดดูเป็นผู้ดี แล้วต่อมาคุณดูหมองๆ เสียงกระด้าง กลิ่นกายชักแย่ผิวพรรณหยาบลง อย่างนี้เป็นสัญญาเตือนให้ระวังได้แล้ว ชักขาดทุนหนักแล้ว ต่อให้เป็นนักแสดงที่เล่นได้หลายบทบาทเพียงใดก็ไม่อาจกลบเกลื่อนร่องรอยความเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ ที่ส่งผลกระทบมาถึงรูปกายภายนอกได้เลย น้ำเสียงของคนหมั่นทำบุญกับคนหมั่นทำบาปจะผิดแผกแตกต่างกันเห็นได้ชัด คนมีศรัทธาในบุญจะมีแก้วเสียงใสไพเราะ ฟังแล้วสบายใจ มีความชื่นบานตามไปด้วย แม้ว่าเดิมทีเสียงงั้นๆ หรือกระเดียดไปในทางไม่น่าพิสมัยนัก
ส่วนคนมีแก่ใจทำบาปบ่อยๆ สุ่มเสียงจะออกโหดๆ ฟังแล้วระคายใจ รู้สึกอึดอัด แม้เดิมจะเป็นผู้มีคุณภาพเสียงชั้นเลิศ คุณก็จะรุ่มร้อนเมื่อฟังไปนานๆ ต่อให้เคยติดหลงน้ำเสียงเพียงใด ฟังบ่อยเข้าก็จะแหนงหน่ายคลายความยินดีจนได้ในที่สุด
๓) ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งกระทบรอบตัว
หากช่วงต้นชีวิตมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นซ้ำๆ ที่บั่นทอนศรัทธา หรือกีดกั้นให้คุณดูถูกเรื่องกรรมวิบาก ก็ขอให้ทราบว่านั่นอาจเป็นผลกรรมของการที่เคยเป็นผู้ผิดศีลมาอย่างหนัก หรืออีก
ทางหนึ่งคืออาจเป็นผู้หลงผิด และยุยงให้คนอื่นเห็นผิด ให้นึกว่ากรรมวิบากไม่มีจริง ทำบุญทำบาปไม่มีผล (ซึ่งถ้าหนักหนาสาหัส ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่คุณจะอ่านหนังสือมาจนถึงบรรทัดนี้) สรุปว่าต้นทุนเก่าของคุณไม่ดีเท่าที่ควร
แต่ถ้าคุณเกิดใฝ่ใจ อยากศึกษา อยากเข้าให้ถึงซึ่งศรัทธาในกรรมวิบาก จนกระทั่งในที่สุดเอาชนะความเป็นผู้มี “ศรัทธาด้าน” ได้ ก็แปลว่านั่นคือกำไรแล้วจะจะ ยิ่งถ้าหากช่วยส่งเสริมหรือแนะแนวให้
คนรอบตัวหันมาสนใจและเลื่อมใสกฎแห่งกรรมวิบากได้ ผลเข้าตัวจะยิ่งมากขึ้น คือใจยิ่งน้อมลงสู่ความนุ่มนวล ฟังธรรมะแล้วต้านน้อยกว่าเก่า จนกระทั่งถึงขั้นลงใจในที่สุด ณ จุดของความลงใจจริงๆ ไม่ฝืนแสร้งแกล้งเชื่อเพื่อให้เกิดผลพิสูจน์ คุณจะพบว่าเหตุการณ์ภายนอกและสิ่งกระทบทั้งหลายค่อยๆ แปลกเปลี่ยนไป จากร้ายกลายเป็นดี จากดีกลายเป็นดียิ่งๆ ขึ้น นั่นแหละครับ การแสดงตัวของกำไรอย่างแท้จริง ส่งเสริมให้คุณเกิดกำลังใจมุมานะทำดีหนักกว่าเดิม
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าได้เข้าใจว่าทำดีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะดีหมด กรรมเป็นเรื่องคาดการณ์ยาก ผลของอกุศลบางอย่างนั้นอาจเกิดขึ้นเรื่อยๆหาจุดจบยากไม่ว่าคุณจะดีสักขนาดไหน แต่ที่แน่นอน
คือเมื่อศรัทธาเรื่องกรรมวิบากอย่างมั่นคงแล้ว ใจคุณจะไม่เป็นทุกข์เพราะเจตนาทำชั่วไม่มีด้วยกรณีใดๆ และแม้ถูกทำร้าย ความอาฆาตแค้นพยาบาทฝังใจก็ไม่ปรากฏ เมื่อไม่คิดทำชั่ว ไม่ผูกใจเจ็บ เท่านี้จิตก็ใส ใจก็เบา เหมือนลอยคออยู่ในทะเลแห่งความสุขกันแล้ว
เห็นๆ เหตุยั่วยุให้ทำชั่วจะน้อยหรือเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจิตคุณใส ใจคุณถึงจริงๆ
ในทางตรงข้าม หากยิ่งวันคุณยิ่งเจอเหตุการณ์ประดังเข้ามาให้เสื่อมศรัทธาในกรรมวิบาก ประเภทหนักผิดปกติหรือบ่อยเกินงาม ทั้งที่เดิมก็ธรรมดาๆ ไม่หนักไม่เบานัก อันนั้นก็เป็นเครื่องชี้ได้เหมือนกันว่าคุณกำลังถูกดึงดูดเข้าไปสู่ความหลงผิด นั่นอาจหมายถึงคุณกำลังถูกชักชวนเข้าไปหาอบายมุข เที่ยวผู้หญิงบ่อย กินเหล้าหนัก หมกมุ่นกับการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตรสนิทสนม กระแสอบายมุขจะนำเรื่องเลวร้ายสารพัดสารเพทยอยมากระหน่ำย่ำยีคุณตามระดับหนักเบาของการเข้าไปมั่วสุมคลุกคลี
ใครจะหาว่าเข้าข้างตัวเองก็ช่างเขา แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าเมื่อเกิดมาอยู่ใต้ร่มพุทธ มีสิทธิ์ฟังคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าแล้วล่ะก็ ให้ตัดสินได้เลยว่าคุณมีทุนเก่ามาหนากว่าคนอื่นๆ ในโลกที่เขาอยู่ในประเทศซึ่งขาดโอกาสแบบเรา
ปักใจเชื่อให้เด็ดเดี่ยวแบบนี้เสียจะได้มีกำลังใจเป็นทุนใหม่ก่อกรรมจนได้ความอุ่นใจเป็นใบเสร็จ คือยิ่งอุ่นใจมากแปลว่ากำไร ใจแห้งขอดแปลว่าขาดทุน ไม่ว่าใครจะกำไรหรือขาดทุนแค่ไหนแล้วก็ขอให้ลงทุนเพิ่มเข้าไปเถิด ที่พระพุทธเจ้าสอนให้คิด พูด ทำอยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา ยิ่งน้ำหนักกรรมดีมีมากขึ้นเพียงใด ความอุ่นใจก็จะยิ่งเอ่อมากขึ้นเพียงนั้น กระทั่งถึงวันหนึ่งเมื่อมีความสุขจนล้นหลาม คุณจะทราบเองว่าใจแท้ๆ ที่เป็นบุญเป็นกุศลที่มีสติสัมปชัญญะ ที่มีปัญญาความฉลาดนั้น จะไม่รู้สึกเลยว่าชีวิตสิ้นสุดตอนโดนเผา คุณจะเลื่อมใสไม่ดูแคลนในบุญกุศลอย่างเต็มเปี่ยม และเห็นประจักษ์ตามธรรมชาติคือ ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอนครับ