HIV คืออะไร โรคร้ายที่สามารถป้องกันได้ หากเข้าใจและรู้ทัน
HIV คือ ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจจะกลายเป็นเอดส์ในที่สุด ดังนั้น จึงควรหมั่นตรวจเลือดHIV เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
รู้หรือไม่ว่า แม้ในปัจจุบันที่มีความรู้ทางการแพทย์มากมาย แต่ HIV ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก การติดเชื้อ HIV ไม่ได้หมายถึงจุดจบของชีวิต หากได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสม ผู้เป็นHIV ก็สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ บทความนี้ จะพาไปทำความเข้าใจทุกแง่มุมของ HIV ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ระยะของ HIV ไปจนถึงการป้องกัน เพื่อลดอคติ สร้างความเข้าใจ และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเท่าเทียม
HIV คืออะไร? มีอาการเป็นอย่างไร
HIVคือ ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายเป็นจำนวนมากจนถึงระดับหนึ่ง จะเรียกว่า เป็นเอดส์ (aidsย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV โดย HIVย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus ซึ่งอาการของ HIV แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infection), ระยะแฝง (Clinical Latency หรือ Asymptomatic HIV Infection) และ ระยะเอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immunodeficiency Syndrome)
HIV เกิดจากสาเหตุอะไร
HIV สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งบางชนิดจากผู้ที่ติดเชื้อ HIV โดยสารคัดหลั่งเหล่านี้ มีปริมาณเชื้อไวรัส HIV ในระดับที่สามารถแพร่เชื้อได้ ได้แก่ เลือด, น้ำอสุจิและน้ำหล่อลื่น, น้ำในช่องคลอด และน้ำนมแม่ ทั้งนี้ ช่องทางที่เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ HIV ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์ เป็นช่องทางการติดต่อที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักมีความเสี่ยงสูงที่สุด
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้เป็นHIV ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อโดยตรง
- จากแม่สู่ลูก แม่ที่ติดเชื้อ HIV สามารถแพร่เชื้อไปยังลูกได้ระหว่างตั้งครรภ์ คลอดบุตร และให้นมบุตร อย่างไรก็ตาม การได้รับยาต้านไวรัสอย่างเหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์ (HIVในหญิงตั้งครรภ์) และหลังคลอด สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังลูกได้เป็นอย่างมาก
ความแตกต่างระหว่าง HIV กับ AIDS
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า HIVกับเอดส์ (AIDS) คือ สิ่งเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้ว เอดส์กับHIV มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- HIVย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus คือ เชื้อไวรัส ที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์ CD4 ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อาจยังไม่แสดงอาการใดๆ เป็นระยะเวลานาน (เรียกว่า ระยะแฝง) แต่เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ การตรวจหาเชื้อ HIV สามารถทำได้โดยการตรวจเลือดHIV เพื่อดูว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายหรือไม่
- AIDS ย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency Syndromeคือ ภาวะหรือกลุ่มอาการ ที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายโดยเชื้อ HIV อย่างรุนแรง จนร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ โดยถือว่า aidsคือ ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV โดยผู้ป่วย AIDS จะมีระดับ CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ไมโครลิตร และมักมีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เช่น ปอดบวมจากเชื้อรา วัณโรค เชื้อราในช่องปากและหลอดอาหาร เป็นต้น
ระยะการติดเชื้อ HIV
การติดเชื้อ HIV แบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ โดยในแต่ละระยะจะมีช่วงเวลาและอาการที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ดังนี้
- ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infection) ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ HIV ในช่วงแรกนี้ ไวรัส HIV จะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันพยายามตอบสนอง โดยอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มักไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นไข้หวัดทั่วไปได้ง่าย โดยผู้ติดเชื้อในระยะนี้ สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย เนื่องจากมีปริมาณไวรัสในร่างกายสูง อาการมักเป็นอยู่ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์แล้วหายไปได้เอง
- ระยะแฝง (Clinical Latency หรือ Asymptomatic HIV Infection) อาจยาวนานหลายปี (เฉลี่ย 8 - 10 ปี หรือมากกว่า) ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการใด ๆ หรืออาจมีอาการเล็กน้อย เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตเล็กน้อย ผู้ติดเชื้อดูเหมือนคนปกติทั่วไป แต่เชื้อ HIV ยังคงทำลายเซลล์ CD4 ในระบบภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง ระยะนี้เรียกว่า "ระยะสงบ" หรือ "ระยะติดเชื้อเรื้อรัง" โดยผู้ติดเชื้อยังคงสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ แม้จะไม่มีอาการ
- ระยะเอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immunodeficiency Syndrome) ระยะเวลา เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง ระดับ CD4 ลดลงต่ำกว่า 200 เซลล์/ไมโครลิตร อาการ ร่างกายอ่อนแอมากและติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ง่าย ระยะนี้ เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV โรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
วิธีป้องกันการติดเชื้อ HIV
การป้องกันการติดเชื้อ HIV เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ดังนั้นทางเราจึงขอแนะนำวิธีป้องกันการติดเชื้อ HIV หลากหลายวิธีที่สามารถทำได้ ดังนี้
- การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก ควรเลือกถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้
- การหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เพราะการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเป็นช่องทางการติดต่อ HIV ที่มีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
- การตรวจหาเชื้อ HIV อย่างสม่ำเสมอ เพื่อทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง หากพบว่าติดเชื้อ HIV การได้รับยาต้านไวรัส (ART) อย่างรวดเร็วจะช่วยควบคุมปริมาณไวรัส ลดการทำลายระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยควรตรวจเลือดHIV อย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นหากมีพฤติกรรมเสี่ยง
- การใช้ยา PrEP (Pre-exposure prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ใช้ยาเสพติด
- การใช้ยา PEP (Post-exposure prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ใช้หลังจากการสัมผัสความเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการสัมผัสกับเลือดของผู้ติดเชื้อ HIV
- การป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก สำหรับการติดเชื้อ HIVในหญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับยาต้านไวรัส (ART) อย่างเหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์ คลอดบุตร และหลังคลอด สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังลูกได้อย่างมาก
- การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการมีคู่นอนคนเดียว หรือพูดคุยกับคู่นอนเกี่ยวกับประวัติทางเพศและการตรวจหาเชื้อ HIV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV
HIV เรื่องใกล้ตัวที่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
HIVคือ ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายถึงระดับหนึ่ง จะเรียกได้ว่า เป็นเอดส์ สรุปแล้ว aidsคือ ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ในปัจจุบันสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัย, การหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการตรวจหาเชื้อ HIV อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีและปลอดภัย