ตำนานผีล้านนา เจ้าหลวง
กลางป่าลึกทางภาคเหนือในดินแดนที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ป่าเพียงลาว" มีคุ้มเก่าแก่ที่ถูกเล่าขานในตำนานว่าเป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวและเต็มไปด้วยคำสาป คุ้มแห่งนี้คือ "คุ้มคำลือ" สร้างขึ้นในสมัยที่ เจ้าหลวงคำลือ ครองอำนาจ
ประวัติของคุ้มคำลือ
คุ้มคำลือ เป็นอาคารไม้สักทรงล้านนาที่ดูงดงามและอลังการในยุคสมัยที่มันยังรุ่งเรือง หลังคาแหลมสูงซ้อนกันสามชั้นประดับด้วยลายแกะสลักรูปพญานาคและสัตว์ในตำนานล้านนา ตัวอาคารตั้งอยู่บนฐานหินสูงราวกับจะป้องกันภัยจากสิ่งที่อยู่ใต้ดิน
แต่ในปัจจุบัน คุ้มคำลือเต็มไปด้วยเถาวัลย์ที่เลื้อยปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นรายละเอียดของลวดลายแกะสลัก หน้าต่างทุกบานปิดตาย มีคราบสนิมและตะไคร่น้ำเกาะแน่น บางส่วนของโครงสร้างไม้ผุพังจนดูเหมือนพร้อมจะถล่มลงมา แต่สิ่งที่ทำให้คุ้มแห่งนี้น่ากลัวที่สุดคือ ประตูไม้ใหญ่ที่มีสัญลักษณ์ลึกลับสลักอยู่ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นคาถาป้องกันสมบัติที่ซ่อนอยู่ภายใน
รอบคุ้มมักมีเสียงแปลกๆ ดังมาท่ามกลางความเงียบสงัดของป่า เช่น เสียงโซ่กระทบกัน เสียงลมหวีดหวิวราวกับเสียงร้องไห้ และบางครั้งก็มีเสียงหัวเราะเยือกเย็นดังออกมาจากตัวคุ้ม
เล่ากันว่า เจ้าหลวงคำลือเป็นเจ้าเมืองที่กระหายอำนาจและมั่งคั่ง เขาใช้แรงงานจากทาสนับร้อยคนในการสร้างคุ้มนี้ ด้วยความเชื่อว่า คุ้มแห่งนี้จะเป็นที่เก็บรักษาสมบัติและพลังอำนาจของเขาไว้ตลอดกาล แต่ความโหดเหี้ยมของเจ้าหลวงกลับทำให้คุ้มนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
ข้าทาสผู้เคราะห์ร้าย
เมื่อคุ้มคำลือสร้างเสร็จ เจ้าหลวงเกรงว่าความลับเกี่ยวกับ ห้องลับใต้คุ้ม และสมบัติที่ซ่อนอยู่จะรั่วไหล เขาจึงสั่งประหารข้าทาสทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสร้างคุ้ม
ข้าทาสผู้เคราะห์ร้ายถูกลากตัวไปที่ลานประหารด้านหลังคุ้ม มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ไร้ความเมตตาจากเจ้าหลวง หลังจากประหารแล้ว ศพของพวกเขาถูกฝังไว้ในรั้วกำแพงคุ้ม บางรายถูกฝังทั้งที่ยังมี โซ่ตรวนติดอยู่กับร่าง
การสะกดวิญญาณ
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหลวงคำลือยังเชิญ พราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคม มาทำพิธีสะกดวิญญาณข้าทาสเหล่านี้ให้อยู่เฝ้าคุ้มไปชั่วนิรันดร์
พราหมณ์ผู้ทำพิธี:
"เจ้าหลวง วิญญาณของคนเหล่านี้จะไม่ได้ไปผุดไปเกิด ข้าจะสะกดพวกมันไว้ใต้ดินและกำแพงคุ้ม ให้พวกมันคอยปกป้องสมบัติและตอบแทนความภักดีต่อท่าน"
คาถาอาคมถูกร่ายเป็นภาษาล้านนาที่ไม่มีใครเข้าใจ พร้อมกับการฝัง เครื่องรางและโซ่ตรวน ลงไปในพื้นดินรอบคุ้ม
เจ้าหลวงคำลือ: (หัวเราะเย้ยหยัน)
"พวกเจ้ามันก็แค่ข้าทาส จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเฝ้าสมบัติของข้าเท่านั้น ข้าจะมั่นใจได้ว่าไม่มีใครแตะต้องสิ่งที่เป็นของข้าได้!"
มีข่าวลือว่าข้าทาสที่สิ้นชีพในคุ้มแห่งนี้ถูกฝังพร้อม โซ่ตรวน และทำพิธีสะกดวิญญาณเพื่อให้วิญญาณของพวกเขาไม่อาจไปผุดไปเกิด และกลายเป็นข้ารับใช้ในปรโลกของเจ้าหลวงคำลือ ต่อไป
การสิ้นชีพในสนามรบ
ในสงครามครั้งสุดท้าย เจ้าหลวงคำลือนำกองทัพเข้าสู้กับศัตรูจากแดนใต้ แม้พระองค์จะมี วิชาอาคม ที่ป้องกันคมดาบและลูกธนู แต่ด้วยจำนวนศัตรูที่มหาศาล พระองค์ก็ถูกล้อมกรอบจนไม่อาจรอด
ขณะที่เจ้าหลวงคำลือถูกศัตรูล้อม พระองค์ยังคงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน พร้อมกล่าวคำสุดท้ายก่อนสิ้นชีพ:
เจ้าหลวงคำลือ:
"แม้ร่างของข้าจะดับสูญ แต่ข้าจะไม่มีวันตาย! วิญญาณของข้าจะยังคงปกป้องสมบัติและแผ่นดินนี้ จนกว่าคำสาปของข้าจะเป็นนิรันดร์!"
หลังคำพูดนั้น พระองค์กระโดดเข้าสู้ศัตรูพร้อมดาบเล่มใหญ่ สังหารศัตรูจำนวนมากก่อนจะถูกแทงจนล้มลง ทว่าก่อนตาย พระองค์ได้ใช้เลือดของตนวาดอักขระโบราณลงบนพื้นสนามรบเพื่อสาปแช่งและผูกมัดวิญญาณตนเองไว้กับคุ้มคำลือ
อาถรรพ์และความโหดเหี้ยมของวิญญาณเจ้าหลวง
หลังการตายของเจ้าหลวงคำลือ คุ้มคำลือก็กลายเป็นสถานที่ต้องคำสาป ชาวบ้านที่เคยตกเป็นเหยื่อของพระองค์เชื่อว่าวิญญาณเจ้าหลวงยังคงเฝ้าคุ้มแห่งนี้เพื่อปกป้องสมบัติและอำนาจของตน จะมีเสียงหัวเราะดังก้อง: ในทุกคืนเดือนมืด ชาวบ้านจะได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้าหลวงดังออกมาจากคุ้ม พร้อมเสียงลากโซ่ตรวนและเสียงร้องของวิญญาณข้าทาส
นักล่าสมบัติและผู้บุกรุกที่กล้าเข้าไปในคุ้ม ต่างต้องเผชิญกับวิญญาณของเจ้าหลวงที่ยังคงแสดงความโหดเหี้ยมและจะไม่ยอมให้ใครหนีรอดไปจากคุ้มคำลือนี้
ชาวบ้านเล่าว่า...
"คนที่ตายไปจากคุ้มคำลือ จะไม่ได้ไปสู่สุคติ...วิญญาณของพวกเขาจะถูกพันธนาการในดินแดนแห่งความมืดและจะต้องเฝ้าคุ้มคำลือไปตลอดกาล! พวกเขาจะกลายเป็น วิญญาณทาสของเจ้าหลวงคำลือ ที่คอยปกป้องสมบัติของพระองค์จนชีวิตไม่มีวันสิ้นสุด"
วิญญาณของ เจ้าหลวงคำลือ ยังคงทวงสิทธิ์และอำนาจที่เคยมีจากชีวิตมนุษย์ ทุกร่างกายที่ตกลงไปในคุ้มคำลือ ไม่ว่าจะเป็นนักล่าสมบัติหรือผู้ที่ผิดคำสาบาน ก็จะต้องจ่ายราคาด้วยการเป็น วิญญาณทาส ที่คอยรับใช้ ผีฟ้า ไปจนกว่าจะหมดอายุขัยไปในโลกนี้ และหากมีการฝ่าฝืนคำสาป วิญญาณของเจ้าหลวงคำลือ จะตามมาเก็บ วิญญาณ และ ชีวิต ของพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง
กลุ่มนักล่าสมบัติที่นำโดย กิตติ ชายหนุ่มผู้มีความทะเยอทะยานและไม่เชื่อในเรื่องผีสาง เดินทางมาถึงป่าเพียงดาวพร้อมกับลูกทีมอีกสี่คน ได้แก่ มานพ มือขุดค้น, วิชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่, สันต์ ช่างภาพ, และ อารีย์ นักโบราณคดี
กิตติ: "ทุกคน เรามาไกลขนาดนี้แล้ว อย่ามัวเสียเวลา สมบัติในคุ้มคำลือจะทำให้เรารวยไปทั้งชาติ!"
มานพ: "แต่พี่กิตติ ผมได้ยินชาวบ้านเล่าว่าป่านี้มีผีเจ้าหลวง ถ้าเขาไม่อยากให้ใครแตะสมบัติล่ะ?"
กิตติ: "เลิกพูดเรื่องไร้สาระ! ผีที่ไหนจะมาทำอะไรเราได้? เรามาที่นี่เพื่อหาสมบัติ เข้าใจไหม?"
อารีย์: (เสียงเบา) "แต่ป่านี้ดูไม่ปกติเลยค่ะ... เหมือนมีใครมองเราอยู่ตลอดเวลา"
ค้นพบคุ้มคำลือ
หลังจากเดินทางลึกเข้าไปในป่า พวกเขาพบคุ้มคำลือที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมอกหนา เถาวัลย์เลื้อยพันรอบตัวคุ้มจนแทบมองไม่เห็นตัวอาคาร
วิชัย: "นี่แหละคุ้มคำลือ! แผนที่ไม่พลาดเลย แต่บรรยากาศมันดู... น่ากลัวแปลกๆ"
กิตติ: "หยุดพูดแล้วเริ่มค้นหาทางเข้าได้แล้ว เราไม่มีเวลามาก"
อารีย์: (เอื้อมมือแตะประตูไม้เก่า) "ประตูนี้มีสลักโบราณ... เหมือนเป็นคาถาอะไรบางอย่าง"
กิตติ: "อย่าเสียเวลาเปิดเลย ถ้าประตูขวางทางก็พังมันซะ!"
ในคุ้มคำลือ
เมื่อพวกเขาผลักประตูเข้าไป ภายในคุ้มเงียบสงัดและเย็นเยือก แม้จะเป็นเวลากลางวัน แต่แสงสลัวและกลิ่นอับทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
สันต์: "ที่นี่มันเหมือนหลุดมาจากนิยายสยองขวัญเลย... ดูสิ รูปปั้นพวกนี้เหมือนกำลังจ้องมองเรา"
อารีย์: (พึมพำ) "รูปปั้นพญานาค... และนี่คือสัญลักษณ์ล้านนา มันแฝงความหมายอะไรบางอย่าง..."
กิตติ: "จะรูปปั้นอะไรก็ช่าง! หาให้เจอว่าห้องลับอยู่ตรงไหน!"
ในที่สุด พวกเขาก็พบประตูหินที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นไม้ เมื่อพวกเขาพังเข้าไป สิ่งที่อยู่ข้างในทำให้ทุกคนหยุดนิ่ง
มานพ: "ทองคำ... นี่มันสมบัติจริงๆ!"
กิตติ: (ตาเป็นประกาย) "เราเจอแล้ว! รีบขนออกมาให้หมด!"
สันต์: (หัวเราะ) "คำสาปอะไรนั่น แค่เรื่องหลอกเด็ก พวกชาวบ้านกลัวกันไปเอง!"
แต่ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูห้องลับ เสียงโซ่ตรวนลากพื้นก็ดังก้องทั่วคุ้ม พร้อมกลิ่นสาปที่ลอยขึ้นมาจากใต้ดิน
ขณะที่มานพพยายามยกหีบสมบัติทองคำขึ้นจากพื้น ทันใดนั้น โซ่ตรวนที่ขึ้นสนิม ก็พุ่งออกมาจากกำแพงห้องลับ รัดร่างเขาจนแน่น เสียงกระดูกหักดังกรอบแกรบ
มานพ: (ตะโกน) "ช่วยด้วย! มัน...มันกำลังรัดฉัน!"
เพื่อนที่เหลือพยายามช่วยดึงตัววิชัยออกจากโซ่ แต่แรงลึกลับดึงเขาเข้าไปในกำแพงหิน ทิ้งเพียง รอยเลือดสด ไว้บนพื้น
สันต์วิ่งหนีจากห้องลับไปที่ลานหน้าคุ้ม แต่พื้นดินกลับเริ่มยุบตัวลงเหมือนเป็นดินดูด
สันต์: "ไม่! ไม่! ช่วยฉันด้วย!"
เขาพยายามปีนขึ้นมา แต่มือที่จับพื้นกลับเจอเพียง เถ้ากระดูกเย็นเยียบ ดินสีดำค่อยๆ กลืนร่างของเขาจนมิดเหลือเพียงเสียงกรีดร้องที่เงียบหายไปพร้อมความมืด
อารีย์ตัดสินใจหนีออกจากคุ้ม แต่เมื่อเขาเปิดประตูทางออก เขาก็พบกับ เงาร่างทาสจำนวนมาก ที่ถือโซ่ตรวนและมีดสั้นในมือ ดวงตาแต่ละดวงลุกวาวด้วยความอาฆาต
อารีย์: (เสียงสั่น) "อย่าเข้ามา... ข้าแค่ต้องการสมบัติเท่านั้น!"
เสียงของวิญญาณทาส: "สมบัติของแผ่นดิน เจ้าคนโลภไม่มีสิทธิ์แตะต้อง!"
ทันใดนั้น วิญญาณเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่เอก เขาตะโกนด้วยความเจ็บปวดเมื่อร่างกายของเขาถูกฉีกเป็นชิ้นโดยโซ่ตรวนและมีดสั้น
กิตติเป็นคนเดียวที่ยังรอดอยู่ เขาหนีขึ้นไปยังชั้นบนสุดของคุ้ม ที่นั่นเขาได้พบกับเงาร่างของ เจ้าหลวงคำลือ ที่ยืนอยู่ในชุดนักรบล้านนา พร้อมดวงตาแดงก่ำ
กิตติ: (ตัวสั่น) "ข้าขอโทษ! ข้าไม่รู้ว่าสมบัตินี้ต้องคำสาป!"
เจ้าหลวงคำลือ: (เสียงดังก้อง) "เจ้ามันคนโลภ สมบัตินี้ไม่ใช่ของเจ้า! จงไปชดใช้ความผิดของเจ้าในโลกหลังความตาย!"
เจ้าหลวงคำลือยกมือขึ้น ดาบเงินเล่มใหญ่ ปรากฏขึ้นในมือ ทันใดนั้น ดาบเล่มนั้นฟาดลงมา หัวของกิตติก็ตกลงพื้นอย่างเวทนาหัวของ กิตติ ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาล้มลงไปยังพื้นอย่างไร้ชีวิต ผมและเลือดของเขากระจายไปทั่วดิน ขณะที่ดวงตาที่ยังคงเปิดอยู่นั้นเหมือนจะมีคำถามค้างในใจ
เจ้าหลวงคำลือ:
"ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปที่ไหน ร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าจะเป็นของข้า! พวกเจ้าไม่สามารถหลบหนีจากคำสาปนี้ได้!"
เมื่อเสียงคำสาปดังขึ้น วิญญาณของเจ้าหลวงคำลือ ควบคุมวิญญาณของทุกคน ที่เข้ามาในคุ้มคำลือและพวกเขาก็จะกลายเป็น ทาสที่ไม่มีวันหลุดพ้นจากคำสาป ตลอดกาล