ย้อนรอยคดีกระสุนนัดปริศนา การลอบสังหาร JFK ที่ยังคงก้องในหน้าประวัติศาสตร์
วันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส กลายเป็นสถานที่ที่โลกต้องหยุดนิ่ง เมื่อเสียงปังของกระสุนนัดหนึ่งดังก้อง ทลายความสงบสุขและความหวังของประเทศสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ถูกลอบสังหารขณะนั่งอยู่ในขบวนรถเปิดประทุน ท่ามกลางสายตาประชาชนที่มาชมอย่างล้นหลาม
ไม่เพียงแต่การลอบสังหารนี้จะสั่นสะเทือนประเทศ แต่ยังทิ้งปริศนาไว้มากมายจนกลายเป็นหนึ่งในคดีที่ลึกลับและน่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ขบวนรถของประธานาธิบดี JFK เคลื่อนตัวผ่านย่าน Dealey Plaza ประชาชนโบกมือทักทาย และเสียงหัวเราะก็เต็มไปทั่วถนน ไม่มีใครคาดคิดว่าในอีกไม่กี่วินาที ความสนุกสนานจะเปลี่ยนเป็นโศกนาฏกรรม กระสุนปริศนา 3 นัดถูกยิงออกมาจากชั้น 6 ของโกดังเก็บหนังสือแห่งหนึ่ง
นัดแรกพลาดเป้า แต่นัดต่อมาเจาะเข้าที่ลำคอ และสุดท้ายคือกระสุนที่พุ่งเข้าศีรษะของ JFK เสียงกรีดร้องของผู้คนดังก้อง ขณะที่รถเร่งความเร็วออกจากพื้นที่ นำร่างของประธานาธิบดีไปยังโรงพยาบาล แต่เขาก็ไม่อาจรอดชีวิต
ผู้ต้องสงสัย: ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์
ไม่นานหลังเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่จับกุมตัว ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald) ชายหนุ่มที่ทำงานในโกดังเก็บหนังสือและถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบสังหาร ทุกอย่างดูเหมือนจะชัดเจน อาวุธปืนไรเฟิลของเขาตรงกับกระสุน และเขาอยู่ในตำแหน่งที่ยิงได้พอดี
แต่ก่อนที่เขาจะถูกนำตัวขึ้นศาล ออสวอลด์ถูกยิงเสียชีวิตโดย แจ็ค รูบี้ เจ้าของไนต์คลับปริศนาที่อ้างว่าต้องการแก้แค้นแทนประธานาธิบดี การเสียชีวิตของออสวอลด์ทำให้คดีนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้น และทำให้ข้อเท็จจริงหลายอย่างถูกฝังไปพร้อมกับเขา
ทฤษฎีสมคบคิด ใครอยู่เบื้องหลัง?
แม้ว่าคณะกรรมการวอร์เรน (Warren Commission) จะสรุปว่าลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์เป็นผู้ก่อเหตุเพียงลำพัง แต่ประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อ พวกเขาตั้งคำถามว่าเหตุการณ์นี้ซับซ้อนกว่านั้น
1. มือที่สาม: หลายคนเชื่อว่ามีผู้ยิงอีกคนในพื้นที่ที่เรียกว่า “เนินหญ้า” (Grassy Knoll) โดยมีพยานอ้างว่าเห็นควันปืนและได้ยินเสียงปืนจากบริเวณนั้น
2. รัฐบาลและ CIA: บางทฤษฎีระบุว่า JFK มีนโยบายที่ขัดผลประโยชน์ของหลายฝ่าย รวมถึง CIA และรัฐบาลเงา การสังหารอาจเป็นการขจัดภัยคุกคามต่อพวกเขา
3. กลุ่มมาเฟีย: JFK และครอบครัวเคนเนดีเคยมีความขัดแย้งกับมาเฟีย กลุ่มนี้อาจต้องการแก้แค้นหรือตัดปัญหาทางการเมือง
การลอบสังหาร JFK ไม่ใช่แค่การสูญเสียผู้นำของสหรัฐฯ แต่เป็นการทลายความไว้วางใจในรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรม ชาวอเมริกันเริ่มตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของผู้มีอำนาจ รวมถึงการดำเนินคดีที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยช่องโหว่
นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษาความปลอดภัยของผู้นำระดับโลกไปตลอดกาล ขบวนรถประธานาธิบดีหลังจากนั้นแทบจะไม่มีการเปิดประทุนอีก และมาตรการรักษาความปลอดภัยถูกยกระดับจนถึงขีดสุด
บทสรุปคดีที่ไม่มีวันจบ
กว่า 60 ปีผ่านไป คดีลอบสังหาร JFK ยังคงเป็นเงาปริศนาที่หลอกหลอนโลก ความลึกลับของมันทำให้เรื่องราวนี้ยังถูกนำมาวิเคราะห์ในหนังสือ สารคดี และภาพยนตร์มากมาย
เราอาจไม่มีวันรู้ความจริงเบื้องหลังการเสียชีวิตของ JFK แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เรื่องราวนี้ได้ทิ้งบทเรียนอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับอำนาจ การเมือง และผลกระทบที่ความลึกลับสามารถสร้างต่อมนุษยชาติได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด