สยองรายการญี่ปุ่นขังคนอยู่ในห้องนาน 1 ปีเพื่อความบันเทิง
ในโลกที่เต็มไปด้วยรายการโทรทัศน์ที่หวังผลทางการตลาดและความบันเทิงที่ไร้ขีดจำกัด เรามักพบเห็นเรื่องราวที่ขอบเขตของความบันเทิงนั้นถูกท้าทายจนเกินพอดี บางครั้งการกระทำที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงการสร้างความสนุกสนาน ก็กลายเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานของมนุษย์และจิตใจมนุษย์อย่างร้ายแรง เรื่องราวของ Nasubi หรือที่มีชื่อจริงว่า ยาซุชิ ซูมิตะ คือหนึ่งในกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงความบ้าคลั่งของโลกแห่งบันเทิงที่พร้อมจะกระทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยการทรมานและจิตใจที่แตกสลาย
ในปี 1998 รายการโทรทัศน์ญี่ปุ่นชื่อว่า “Sagashimono” ซึ่งแปลว่า “ค้นหาของ” ได้เริ่มต้นการทดลองที่ทำให้ผู้ชมทั่วโลกต้องตะลึง ในการทดสอบที่มีชื่อว่า “Nasubi Experiment” หรือ “การทดลองของ Nasubi” ซึ่งเป็นการนำชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีเงิน ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ จากโลกภายนอก ไปขังเขาไว้ในห้องเล็กๆ โดยที่เขาจะต้องพยายามหาสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ด้วยวิธีการที่แปลกประหลาดและทารุณ เขาถูกบังคับให้ทำภารกิจที่ยากจะทนทานได้ และทั้งหมดนี้ทำเพื่อความบันเทิงของผู้ชมในรายการ
เมื่อ Nasubi ถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆ ขนาดไม่เกิน 10 ตารางเมตร เขาต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากความยากจนและการขาดแคลนสิ่งของพื้นฐาน เช่น อาหาร เสื้อผ้า และของใช้ที่จำเป็น ในการที่จะเอาชนะการทดลอง เขาจะต้องหาเงินหรือสิ่งของจากการชิงโชคและลอตเตอรี่จนกว่าจะมีสิ่งของเหล่านั้นเข้ามาถึงมือเขา ภายในห้องนั้น Nasubi ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ เขาถูกปิดตาด้วยความตั้งใจที่ไม่ให้เขามีความรู้สึกถึงเวลา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา ขณะที่เขาต้องผ่านการทรมานจากความเดียวดาย
ในช่วงแรกๆ ของการขัง Nasubi ไม่สามารถทำอะไรได้มาก นอกจากการรอคอยผลการจับสลากที่อาจจะพาเขาไปสู่การได้รับข้าวของที่จำเป็น แต่การรอคอยในสภาพแวดล้อมที่อึดอัดและหดหู่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเขา ผู้ชมของรายการอาจจะเห็นภาพของชายหนุ่มที่ยังคงยิ้มแย้มและพยายามทำภารกิจ แต่เบื้องหลังของความสุขนั้นเป็นการทรมานที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกวัน
สิ่งที่ทำให้การทดลองนี้น่ากลัวและไม่น่าเชื่อคือ วิธีการที่รายการใช้ในการบังคับ Nasubi ให้ผ่านการทดสอบที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่แค่การขังเขาในห้องเล็กๆ เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการทำให้เขาไม่สามารถสัมผัสกับโลกภายนอกได้เลย เขาไม่สามารถติดต่อกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงได้ ไม่มีแม้แต่การสนทนากับใครทั้งสิ้น ทุกวันเขาต้องตื่นขึ้นมาด้วยความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งเขาแทบจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในวันที่เท่าไหร่ หรือว่าเวลาเดินผ่านไปอย่างไร
การขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มทำให้เขาต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เขาต้องพึ่งพาลอตเตอรี่และโชคในการหาอาหารที่สามารถอยู่รอดได้ สิ่งของที่เขาได้รับมาจากการจับสลากก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกอิ่มท้องในระยะยาว บางครั้งเขาได้รับอาหารแค่พอให้หายหิว แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขามีความสุขหรือมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป
ภาพที่เห็นในรายการดูเหมือนจะเป็นแค่การเล่นตลกกับความทุกข์ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่มันกลับสะท้อนถึงการละเมิดสิทธิพื้นฐานของบุคคล และการทดสอบที่ไม่คำนึงถึงจิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเวลาผ่านไป ความเครียดและความเหนื่อยล้าทางจิตใจเริ่มสะสมขึ้นเรื่อยๆ Nasubi ไม่เพียงแค่ต้องทนทุกข์จากความหิวโหยและความเครียดจากการอยู่ในห้องที่ไม่มีสิ่งเร้า แต่เขายังต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาไม่มีใครพูดคุย ไม่มีใครที่คอยให้กำลังใจ บางครั้งเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์แล้ว ความคิดเริ่มสับสนและจิตใจเริ่มแยกตัวออกจากความเป็นจริง
ในช่วงที่เขาใกล้จะหมดแรง มันเหมือนกับว่ามีเสียงบางอย่างดังขึ้นในห้อง ราวกับเสียงของใครบางคนที่กระซิบอยู่ข้างๆ หรือเสียงฝีเท้าของใครที่กำลังเดินอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อหันไปมอง กลับไม่มีใครอยู่เลย ความหลอนเริ่มมาเยือนอย่างต่อเนื่อง
เขาเริ่มถามตัวเองว่า นี่มันเป็นการทดลองหรือเป็นความทรมานที่เขาจะต้องทนไปตลอดชีวิต? เขาเริ่มสงสัยว่าทำไมเขาต้องเจอเรื่องราวเช่นนี้ การที่เขาถูกขังในห้องที่ไม่มีทางออก ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกทิ้งให้อยู่ในมิติที่ไม่สามารถหลบหนีได้ ความหวังเริ่มหมดลงทีละน้อย
แม้ว่าการทดลองนี้จะสิ้นสุดลงหลังจากที่ Nasubi ได้รับรางวัลและออกจากห้องที่เขาถูกขังอยู่ แต่ผลกระทบจากการทรมานทางจิตใจนั้นไม่เคยหายไปไหน ความวิตกกังวลและความกลัวยังคงตามหลอกหลอนเขาไปจนถึงทุกวันนี้ เขายังคงพยายามที่จะทำใจให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันไม่ง่ายเลย ความทรงจำที่แสนเจ็บปวดของการถูกขังในห้องนั้นยังคงยึดครองจิตใจของเขา และมันจะไม่มีทางหายไป
การกระทำของรายการนี้ทำให้หลายคนสะเทือนใจและเกิดคำถามว่า การนำความทุกข์ทรมานของมนุษย์มาเป็นเครื่องมือเพื่อความบันเทิงนั้นมีความถูกต้องหรือไม่? มันสะท้อนให้เห็นถึงความหดหู่ของจิตใจมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความเมตตา และอาจทำให้บางคนตั้งคำถามว่า สิ่งที่เราเรียกว่าความบันเทิงนั้นจริงๆ แล้วมันคือการทำลายจิตใจของผู้อื่นหรือไม่
กรณีของ Nasubi สอนเราให้ระวังในเรื่องของการใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความบันเทิง ความหลอนของเขาไม่ได้จบลงหลังจากรายการจบลง แต่กลับติดอยู่ในจิตใจของเขาไปตลอดชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นบทเรียนที่ทำให้เราเห็นว่า ความบันเทิงที่ไร้ขอบเขตอาจนำมาซึ่งการทรมานที่ไม่สามารถลบเลือนจากจิตใจได้
การที่มนุษย์ต้องทนทุกข์และถูกขังในห้องที่ไม่สามารถหลบหนีได้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความบันเทิงที่ไร้รสนิยม แต่มันคือการกระทำที่ทดสอบขีดจำกัดของจิตใจมนุษย์ ว่ามนุษย์จะสามารถทนต่อการทรมานได้มากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้ว มันกลับกลายเป็นคำถามที่ว่าความบันเทิงแบบนี้คุ้มค่าหรือไม่ เมื่อมันทำให้คนหนึ่งต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ของตัวเองไป