หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ระหว่างเส้นทางหัวใจ

เนื้อหาโดย หนึ่งวัน พันกว่าเรื่อง

เมืองเล็กของเอม

แสงแดดอ่อนๆ ของเช้าวันใหม่ส่องผ่านกระจกหน้าต่างร้านหนังสือเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายหลักในเมืองเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา เอม เจ้าของร้านหนังสือวัยยี่สิบปลายๆ กำลังเช็ดกระจกหน้าร้านอย่างตั้งใจ เธอเป็นหญิงสาวร่างเล็ก ผมสีน้ำตาลที่ถูกรวบหลวมๆ และใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มบางๆ

เสียงจักรยานเก่าๆ ดังมาจากฝั่งตรงข้ามถนน ก่อนที่ ภีม จะปรากฏตัวพร้อมกับจักรยานคันหนึ่งในมือ เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีซีดและกางเกงยีนส์สบายๆ หน้าตาดูเป็นคนอบอุ่นแต่ไม่ค่อยพูดมากนัก ภีมเป็นเจ้าของร้านซ่อมจักรยานที่อยู่ติดกับร้านหนังสือของเอม

"เช้านี้ยังไม่มีลูกค้าเลยเหรอ?" ภีมถามขณะเดินเข้ามาหา
"ยังเลย เงียบเหมือนเดิมทุกวันแหละ" เอมหันมายิ้มให้ ก่อนวางผ้าลงแล้วพิงประตูร้าน

"เงียบก็ดีไม่ใช่เหรอ? จะได้มีเวลาเขียนนิยายของเธอไง" ภีมพูดพลางหยิบกระป๋องกาแฟเย็นที่ซื้อมาจากร้านชำใกล้ๆ ยื่นให้เอม

"ก็ดี...แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง" เอมรับกาแฟมาแล้วพูดอย่างเหม่อลอย

"ขาดอะไร? หนังสือใหม่? หรือแรงบันดาลใจ?" ภีมถามขณะนั่งลงบนบันไดหน้าร้าน

เอมเงียบไปชั่วครู่ เธอมองออกไปยังถนนที่ว่างเปล่าและทิวเขาไกลๆ "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเหมือน...มีบางอย่างที่ฉันยังหาไม่เจอในชีวิตนี้"

ภีมไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงมองหน้าเอมด้วยสายตาที่อบอุ่นและเข้าใจ แม้ว่าในใจลึกๆ เขาอยากจะบอกว่าตัวเขาเองอาจเป็นคำตอบของสิ่งที่เธอกำลังตามหา แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ

หลังจากบทสนทนาสั้นๆ ภีมกลับไปที่ร้านจักรยานของเขา ขณะที่เอมเดินเข้ามาในร้านหนังสือของตัวเอง หนังสือที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบในชั้นวางให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่เอมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ขาดหายไป

เธอนั่งลงที่โต๊ะไม้เก่ามุมร้าน เปิดสมุดบันทึกของเธอขึ้นมา นิยายที่เธอกำลังเขียนอยู่ยังคงติดอยู่ตรงกลางเรื่อง เธอถอนหายใจ ก่อนจะเขียนอะไรบางอย่างลงไปในสมุด

"ถ้าในชีวิตจริงฉันเป็นตัวละครในนิยาย...บางทีฉันอาจจะรอใครสักคนมาพลิกชีวิตเหมือนในเรื่องพวกนั้นก็ได้"

เสียงระฆังหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ เอมที่กำลังจัดหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นจากงาน เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดลำลองธรรมดายืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปยังชั้นหนังสือราวกับกำลังสำรวจสถานที่ใหม่

"สวัสดีครับ ร้านนี้เปิดอยู่ใช่ไหม?" เสียงนุ่มทุ้มของเขาทักขึ้น

"เปิดค่ะ เชิญเลือกดูตามสบายเลยนะคะ" เอมตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ มองไปรอบๆ ร้านที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือไม้เก่า กลิ่นหอมของกระดาษเก่าและแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างทำให้ร้านดูอบอุ่น

"ร้านน่ารักดีนะครับ ดูเหมือนสถานที่ในหนังสือมากกว่าร้านจริงๆ" เขาพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ

"ขอบคุณค่ะ ถ้าชอบหนังสือเก่า ที่นี่น่าจะถูกใจคุณ"

ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากชั้น มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และสถานที่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้

"เล่มนี้น่าสนใจดีครับ ผมชื่อ นาวา เป็นช่างภาพ ผมมาที่นี่เพื่อถ่ายภาพสำหรับนิทรรศการเกี่ยวกับชีวิตในเมืองเล็กๆ แบบนี้ เลยอยากหาข้อมูลเพิ่มเติม"

เอมยิ้มเล็กน้อย "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อเอม ถ้าคุณต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับเมืองนี้ ฉันยินดีช่วยนะคะ"

"จริงเหรอครับ? งั้นผมคงต้องขอรบกวนแล้วล่ะ"

นาวากลายเป็นลูกค้าประจำของร้านหนังสือในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขามักแวะเข้ามาเพื่อพูดคุยกับเอม หรือบางครั้งก็เพียงนั่งอ่านหนังสือในมุมเงียบๆ ของร้าน

วันหนึ่ง นาวาถามเอมว่าเธอพอจะแนะนำมุมถ่ายภาพที่น่าสนใจในเมืองให้เขาได้ไหม เอมที่รักเมืองนี้และรู้จักมันเหมือนหลังมือ ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว

“งั้นเรามาเริ่มกันที่สวนดอกไม้ท้ายซอยก่อนดีไหมคะ? ตอนบ่ายๆ แบบนี้แสงกำลังสวยเลย”

ที่สวนดอกไม้ท้ายซอย เอมพานาวาไปยังจุดที่เธอมักมานั่งเล่นคนเดียวในวันว่าง นาวาหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพต้นไม้ ดอกไม้ และแสงแดดที่ส่องผ่านกิ่งไม้ เขาหยุดมองเอมที่กำลังชี้บอกจุดที่เธอชอบ ดวงตาของเธอเป็นประกายเมื่อพูดถึงสถานที่นี้

“เธอรู้ไหมว่ามุมมองของเธอมันพิเศษมาก” นาวาพูดขึ้นหลังจากถ่ายภาพเสร็จ

เอมหันมามองเขา งงเล็กน้อย "พิเศษยังไงคะ?"

"เธอไม่ได้แค่ดูสถานที่นี้ แต่เธอเข้าใจมัน เธอมีความรู้สึกกับที่นี่เหมือนมันมีชีวิต มันทำให้ภาพของผมมีเรื่องราว"

เอมยิ้มเจื่อนๆ "ฉันแค่เล่าในสิ่งที่ฉันรู้สึกเท่านั้นเอง"

“บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่คนเมืองใหญ่แบบผมต้องเรียนรู้จากเธอ” นาวาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

ขณะที่เอมใช้เวลามากขึ้นกับนาวา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเริ่มแน่นแฟ้น เอมสนุกกับการแนะนำมุมต่างๆ ในเมือง และเธอพบว่าการอยู่กับนาวาทำให้เธอได้มองเห็นเมืองในมุมใหม่

แต่ในเวลาเดียวกัน ภีม ซึ่งมองเห็นทุกอย่างจากร้านจักรยานข้างๆ เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป

เย็นวันหนึ่ง หลังจากเห็นเอมเดินกลับมาจากสวนกับนาวา ภีมเรียกเธอไว้ขณะเธอกำลังจะปิดร้าน

“วันนี้ดูสนุกดีนะ” เขาพูดน้ำเสียงเรียบๆ

“ใช่ค่ะ ฉันพาคุณนาวาไปที่สวนดอกไม้ท้ายซอย เขาชอบมากเลย”

“เขามาที่นี่นานไหม?” ภีมถาม พร้อมกับหลบสายตา

“น่าจะสองสามเดือน เขามาถ่ายภาพสำหรับงานนิทรรศการน่ะค่ะ”

“ดูเหมือนเขาจะเข้ากับเธอได้ดี”

เอมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเบาๆ "เขาก็แค่คนที่มาทำงานในเมืองนี้ ฉันแค่ช่วยเหลือเขาเท่านั้นเอง"

แต่คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้ภีมรู้สึกดีขึ้น เพราะในใจของเขารู้ดีว่า นาวาไม่ใช่แค่ "ใครบางคน" สำหรับเอม

เสียงจักรยานเก่าๆ ที่ดังมาจากถนนหน้าร้าน ทำให้เอมเงยหน้าขึ้นจากสมุดบันทึก เธอเห็น ภีม ปั่นจักรยานผ่านไปพร้อมกระเป๋าเครื่องมือที่เขาใช้สำหรับงานซ่อม เอมยิ้มออกมาเล็กน้อย นึกถึงความทรงจำในวัยเด็กของเธอกับภีม—วันที่ทั้งคู่เคยปั่นจักรยานไปเที่ยวเล่นกันทั่วเมือง

"เอม เธอเคยคิดไหมว่าถ้าเราปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ จะเจออะไรบ้าง?" ภีมเคยถามเธอในวันหนึ่ง

"อาจจะเจอทุ่งดอกไม้ หรือบ้านหลังเล็กๆ ที่เราไม่เคยเห็น" เอมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ความทรงจำเหล่านั้นยังคงอบอุ่นในหัวใจของเอม แต่เสียงเคาะประตูร้านดึงเธอกลับมาสู่ปัจจุบัน

"วันนี้พร้อมไปสำรวจที่ใหม่หรือยังครับ?" นาวายืนยิ้มอยู่หน้าประตูร้านหนังสือในตอนสายของวัน

"พร้อมค่ะ" เอมตอบ ก่อนหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กขึ้นมาสะพาย

นาวาและเอมเดินไปยังเขตชานเมือง ที่นั่นมีบ้านไม้เก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้างและปกคลุมด้วยต้นไม้ เธอพานาวามาที่นี่เพราะมันเป็นสถานที่ที่เธอชอบมาตั้งแต่เด็ก

"นี่คือที่ที่ฉันมักมานั่งอ่านหนังสือตอนเด็กๆ มันเงียบสงบและดูเหมือนมีเวทมนตร์อะไรบางอย่าง" เอมพูดขณะเดินผ่านซุ้มไม้เลื้อยที่พังครึ่งหนึ่ง

นาวาหยิบกล้องขึ้นถ่ายภาพ แต่ครั้งนี้เขาหันเลนส์มาที่เอมแทน

"คุณถ่ายฉันทำไมคะ?" เอมถามพร้อมหัวเราะเบาๆ

"เพราะฉันอยากเก็บภาพที่มีชีวิตจริงๆ และตอนนี้คุณดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นี้"

เอมยิ้ม แต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกใหม่ในใจ

ในขณะเดียวกัน ภีม ยืนอยู่หน้าร้านจักรยานของเขา มองเห็นเอมและนาวาเดินกลับมาด้วยเสียงหัวเราะที่ดังชัดเจน ภีมรู้สึกได้ว่าเอมดูมีความสุข แต่หัวใจของเขากลับหนักอึ้ง

"ทำไมฉันถึงไม่กล้าพูดออกไป?" เขาคิดในใจ ขณะที่มือกำประแจในมือแน่น

เย็นวันนั้น ภีมตัดสินใจแวะมาที่ร้านหนังสือของเอมหลังปิดร้าน

"เอม" เขาเรียกเธอขณะเธอกำลังเก็บหนังสือ

"มีอะไรหรือเปล่าภีม?"

"ฉันแค่...อยากถามว่าช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง เธอดูยุ่งกับเขามากเลยนะ"

เอมหัวเราะ "คุณนาวาเหรอ? ก็ใช่ค่ะ เขามาขอคำแนะนำบ่อยๆ แต่ฉันก็ยังเหมือนเดิมนะ ภีมล่ะ เป็นยังไงบ้าง?"

ภีมเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ "ก็ดี...แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนมีอะไรเปลี่ยนไป"

ในคืนนั้น เอมกลับบ้านและเริ่มนั่งเขียนนิยายต่อ แต่ความคิดของเธอกลับวนเวียนอยู่กับทั้งภีมและนาวา เธอนึกถึงคำพูดของภีมในเย็นวันนั้น และเสียงหัวเราะของนาวาในบ้านเก่าที่ชานเมือง

"ฉันกำลังรู้สึกอะไรกันแน่?" เธอถามตัวเอง

เธอรักเมืองนี้ รักความสัมพันธ์ที่เธอมีมาตลอดกับภีม แต่ในขณะเดียวกัน นาวาก็ทำให้เธอมองเห็นโลกในมุมใหม่ ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

เช้าวันหนึ่ง นาวาเดินเข้ามาในร้านหนังสือของเอมพร้อมกล้องและกระเป๋าใบเล็ก เขาแสดงแผนที่เก่าๆ บนโทรศัพท์มือถือให้เอมดู

"วันนี้ผมเจอสถานที่น่าสนใจครับ เป็นหมู่บ้านร้างที่อยู่บนเขานอกเมือง เธอเคยไปไหม?" นาวาถามด้วยความตื่นเต้น

เอมส่ายหน้า "ไม่เคยค่ะ แต่ฟังดูน่าสนใจดีนะ คุณอยากให้ฉันไปด้วยหรือเปล่า?"

"ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมคิดว่าการได้เห็นมันผ่านสายตาคุณคงทำให้ภาพถ่ายมีชีวิตขึ้น"

เอมยิ้มเล็กน้อย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ก็พยักหน้าตกลง

หลังจากการเดินทางที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองมาถึงหมู่บ้านร้างบนเนินเขา ที่นั่นเต็มไปด้วยบ้านไม้เก่าที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และต้นไม้ เอมมองไปรอบๆ ด้วยความทึ่ง

"มันดูเหมือนฉากในนิยายเลยค่ะ" เธอพูดขณะเดินสำรวจ

นาวาหยิบกล้องขึ้นถ่ายภาพบ้านร้างและแสงที่ลอดผ่านต้นไม้ แต่เขาไม่สามารถละสายตาจากเอมที่กำลังเดินชมสถานที่อย่างมีชีวิตชีวา

"เอม" เขาเรียกชื่อเธอเบาๆ

"คะ?" เอมหันกลับมามองเขา

"คุณเคยคิดไหมว่าบางทีคุณอาจต้องการมากกว่าสิ่งที่คุณมีอยู่ตอนนี้?"

เอมชะงักไป เธอไม่แน่ใจว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร หรือเขาหมายถึงใคร

"ฉัน..." เธอพยายามคิดหาคำตอบ "ฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรบางอย่าง แต่ฉันก็รักที่นี่นะ"

นาวายิ้มบางๆ "บางทีคุณอาจไม่ได้ขาดอะไร แค่ยังไม่เจอสิ่งที่เติมเต็มให้คุณ"

คำพูดของนาวาทำให้เอมรู้สึกสับสน แต่เธอเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ

ในขณะเดียวกัน ภีมที่เห็นเอมออกไปกับนาวาบ่อยขึ้นก็รู้สึกถึงความไม่แน่นอนในหัวใจ เขาเริ่มสงสัยว่าเขาควรพูดในสิ่งที่เขารู้สึกต่อเอมหรือไม่

ค่ำวันหนึ่ง ภีมแวะมาหาเอมที่บ้าน เขาเห็นแสงไฟจากห้องทำงานของเธอและเคาะประตู

"ภีม? เข้ามาสิ" เอมเปิดประตูให้เขา ภีมเดินเข้ามาในห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือและสมุดบันทึก

"ฉันคิดว่าคืนนี้เราควรคุยกัน" ภีมพูดเสียงเบา แต่สายตาแน่วแน่

เอมวางปากกาและมองเขา "เรื่องอะไรเหรอ?"

"เรื่องเธอกับนาวา"

เอมชะงัก "ฉันกับเขา? ไม่มีอะไรหรอกภีม เราแค่เพื่อนกัน"

"แต่เธอไม่เคยสนใจใครแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่แบบที่เธอทำกับเขา"

เอมรู้สึกถึงความจริงในคำพูดของภีม แต่เธอก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไร

"ภีม...ฉันไม่เคยคิดจะทิ้งสิ่งที่ฉันมีอยู่ที่นี่" เธอพยายามอธิบาย

"แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้วเอม ฉันเห็นนะว่าตอนเธออยู่กับเขา เธอดูมีความสุขมากกว่าตอนอยู่กับฉัน" ภีมพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

เอมไม่รู้จะพูดอะไร เธอเองก็รู้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในหัวใจของเธอ

ในวันถัดมา นาวาชวนเอมไปที่เนินเขาอีกครั้ง ขณะนั่งพักมองพระอาทิตย์ตก นาวาตัดสินใจพูดความในใจ

"เอม ผมอยากบอกอะไรคุณ"

"ว่าไงคะ?"

"ผมไม่รู้ว่าเราจะรู้จักกันอีกนานแค่ไหน แต่ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนพิเศษมากสำหรับผม คุณทำให้ผมมองโลกในมุมที่แตกต่าง"

เอมใจเต้นแรง เธอไม่รู้ว่าควรตอบยังไง

"ฉัน...ฉันดีใจที่คุณรู้สึกแบบนั้น" เธอพูดเบาๆ

"คุณไม่ต้องตอบอะไรตอนนี้ก็ได้ แต่ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าคุณสำคัญกับผมมาก"

หลังจากกลับจากเนินเขากับนาวา เอมใช้เวลาคืนทั้งคืนอยู่กับความคิดของตัวเอง ทุกคำพูดของนาวายังคงก้องอยู่ในหัวใจของเธอ

"คุณสำคัญกับผมมาก"

คำพูดนั้นทำให้เอมรู้สึกอุ่นใจ แต่ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดในสายตาของภีมก็ยังติดอยู่ในความทรงจำ เธอรักเมืองนี้ รักภีมในแบบที่เธอไม่อาจอธิบายได้ แต่นาวาก็ทำให้เธอรู้สึกถึงบางสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น เอมตัดสินใจเดินออกไปหาอากาศสดชื่นเพื่อเคลียร์ความคิด เธอหยิบกล้องตัวเล็กๆ ที่เธอเคยใช้ถ่ายภาพเล่นและเดินไปที่สวนดอกไม้ท้ายซอย

ที่สวนดอกไม้ เอมพบกับภีมโดยบังเอิญ เขานั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างตัวมีจักรยานเก่าๆ ที่เขาเพิ่งซ่อมเสร็จ

"เอม?" ภีมเรียกชื่อเธอเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา

"ภีม? มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าคะ?" เอมถามพร้อมรอยยิ้มจางๆ

"ฉันแค่อยากมานั่งคิดอะไรเงียบๆ" ภีมตอบ สายตาของเขาจับจ้องมาที่เธอ

ทั้งสองนั่งเงียบกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ภีมจะพูดขึ้น "เอม ฉันอยากบอกอะไรเธอ"

"อะไรเหรอคะ?"

"ฉันไม่อยากเสียเธอไป ฉันรู้ว่าเราเป็นเพื่อนกันมานาน แต่สำหรับฉัน เธอไม่ใช่แค่เพื่อน"

คำพูดของภีมทำให้เอมชะงัก เธอมองเขาด้วยสายตาสับสน

"ภีม..." เธอพยายามหาคำพูด "ฉันไม่รู้เลยว่าคุณรู้สึกแบบนี้มาตลอด"

"ฉันไม่เคยพูดออกไป เพราะฉันกลัวว่าถ้าพูดแล้วมันจะเปลี่ยนทุกอย่าง แต่ตอนนี้ฉันกลัวมากกว่า...ว่าถ้าฉันไม่พูด ฉันอาจเสียเธอไป"

เอมรู้สึกถึงน้ำหนักในคำพูดของเขา แต่เธอยังไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร

ในวันเดียวกันนั้น นาวาก็มาหาเอมที่ร้านหนังสือ เขาเล่าว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อเตรียมงานนิทรรศการ

"ผมอยากให้คุณไปงานเปิดตัวนิทรรศการนะ" นาวาพูดพร้อมรอยยิ้ม

"ฉัน...ไม่แน่ใจว่าจะไปได้ไหมค่ะ" เอมตอบเสียงเบา

"เอม ผมรู้ว่าผมอาจเป็นคนแปลกหน้าสำหรับชีวิตคุณ แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมไม่ได้อยากเป็นแค่คนที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป"

เอมเงียบไป นาวาเอื้อมมือมาจับมือเธอเบาๆ

"คิดดีๆ นะ ผมจะรอคำตอบของคุณ"

ในคืนนั้น เอมกลับมาที่ห้องของเธอและนั่งอยู่หน้าสมุดบันทึกเล่มโปรด เธอเขียนความรู้สึกของเธอลงไป ราวกับพยายามหาคำตอบจากตัวเอง

"ฉันรักเมืองนี้ ฉันรักความทรงจำที่ฉันมีอยู่กับภีม แต่หัวใจของฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงไปอีกทางเมื่ออยู่กับนาวา ฉันควรเลือกสิ่งที่มั่นคง หรือควรลองเสี่ยงเพื่อสิ่งที่ไม่แน่นอน?"

เช้าวันรุ่งขึ้น เอมตื่นมาพร้อมความมุ่งมั่น เธอตัดสินใจว่าจะพูดความจริงกับทั้งสองคน

เธอเริ่มจากภีม เธอเดินไปหาที่ร้านจักรยานและพบว่าเขากำลังซ่อมจักรยานอยู่

"ภีม" เอมเรียกเบาๆ

ภีมหันมามอง "เอม? มีอะไรหรือเปล่า?"

"ฉันอยากบอกคุณว่าคุณเป็นคนสำคัญสำหรับฉันเสมอ แต่ฉันคิดว่าฉันไม่สามารถมอบหัวใจให้คุณได้"

ภีมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า แม้ดวงตาของเขาจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็พูดออกมาอย่างใจเย็น

"ฉันเข้าใจ ขอบคุณที่บอกฉันตรงๆ"

จากนั้น เอมเดินไปพบนาวาที่โรงแรมในเมือง เธอบอกเขาว่าเธอตัดสินใจจะไปงานนิทรรศการของเขา

"คุณแน่ใจเหรอ?" นาวาถาม

เอมพยักหน้า "ฉันไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่อะไร แต่ฉันอยากลอง ฉันอยากรู้ว่าฉันจะเป็นใครในโลกของคุณ

ในเช้าของวันที่เธอตัดสินใจเดินทางไปเมืองหลวง เอมมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ ความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวลผสมผสานกัน เธอไม่เคยออกจากเมืองเล็กๆ ของเธอนานขนาดนี้

นาวารอเธอที่สถานี เขายืนยิ้มพร้อมกล้องในมือ "ยินดีต้อนรับสู่โลกของผม" เขาพูด

เอมยิ้มตอบ แม้เธอจะยังไม่ชินกับแสงไฟจ้าและเสียงจอแจของเมืองใหญ่ แต่การมีนาวาอยู่ข้างๆ ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย

นิทรรศการภาพถ่ายของนาวาจัดขึ้นในห้องแสดงผลงานกลางเมือง ภาพที่จัดแสดงส่วนใหญ่เป็นภาพที่เขาถ่ายในเมืองเล็กๆ ของเอม ทั้งภาพธรรมชาติ บ้านเก่า และ...ภาพของเอม

"นี่มัน...ฉันเหรอ?" เอมมองภาพขนาดใหญ่ของตัวเองที่กำลังเดินผ่านทุ่งดอกไม้

"ใช่ครับ" นาวายิ้ม "คุณไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของนิทรรศการนี้ แต่คุณคือแรงบันดาลใจของมัน"

เอมรู้สึกประหลาดใจ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีผลต่อใครมากขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความกดดัน

ในงาน มีทั้งนักข่าวและแขกผู้มีชื่อเสียงเข้ามาพูดคุยกับนาวา เขากลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ซึ่งทำให้เอมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ในโลกใหญ่ของเขา

หลังจากงานนิทรรศการ เอมพยายามปรับตัวกับชีวิตในเมืองใหญ่ นาวาพาเธอไปร้านอาหารสุดหรู เดินชมแกลเลอรี และแนะนำเธอกับเพื่อนร่วมวงการศิลปะ แต่ยิ่งเธอใช้เวลากับเขา เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของเขาแตกต่างจากเธออย่างสิ้นเชิง

คืนหนึ่ง ขณะนาวากำลังเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ เอมนั่งอยู่คนเดียวในห้องพักโรงแรม เธอหยิบสมุดบันทึกของเธอขึ้นมาและเริ่มเขียน

"ฉันเริ่มสงสัยว่าฉันเหมาะสมกับที่นี่ไหม โลกของเขาช่างกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยความท้าทาย ในขณะที่ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาที่รักความสงบในเมืองเล็กๆ"

ในคืนนั้น เอมฝันถึงเมืองของเธอ ฝันถึงร้านหนังสือเล็กๆ และรอยยิ้มของภีมในวันที่พวกเขาปั่นจักรยานเล่นด้วยกัน

เธอตื่นขึ้นพร้อมความคิดถึงที่กัดกินหัวใจ

เช้าวันต่อมา ขณะที่นาวากำลังถ่ายภาพในย่านวุ่นวายของเมือง เอมตัดสินใจพูดสิ่งที่อัดอั้นในใจ

"นาวา...ฉันคิดว่าฉันอาจไม่เหมาะกับที่นี่"

นาวาหยุดถ่ายภาพและหันมามองเธอ "คุณหมายถึงอะไรครับ?"

"ฉันรู้สึกเหมือนโลกของคุณมันกว้างเกินไปสำหรับฉัน ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะสามารถเดินไปกับคุณได้ตลอดรอดฝั่ง"

นาวานิ่งไปก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงชอบคุณ? เพราะคุณทำให้ผมเห็นว่าสิ่งเล็กๆ อย่างร้านหนังสือเล็กๆ หรือหมู่บ้านเงียบๆ สามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ได้ ผมไม่อยากให้คุณเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร รวมถึงเพื่อผมด้วย"

หลังจากคำพูดของนาวา เอมใช้เวลาคิดทบทวน เธอรู้ว่าเธอรักนาวาในแบบที่เขาเป็น แต่เธอก็รักเมืองเล็กๆ ของเธอมากเกินกว่าที่จะปล่อยมือจากมัน

วันหนึ่ง เอมตัดสินใจบอกลานาวา

"ฉันอยากขอบคุณสำหรับทุกอย่าง คุณทำให้ฉันได้เห็นโลกในมุมที่กว้างขึ้น แต่ฉันคิดว่าฉันต้องกลับไปหาสิ่งที่ฉันเป็นจริงๆ"

นาวามองเธอด้วยแววตาเศร้า แต่เข้าใจ "ผมอยากให้คุณมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"

เมื่อกลับมาถึงเมืองเล็กๆ เอมรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน เธอเดินไปที่ร้านจักรยานของภีม ซึ่งเขากำลังซ่อมจักรยานอยู่

"เอม?" ภีมหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจ

"ฉันกลับมาแล้ว" เอมพูดพร้อมรอยยิ้ม

ภีมวางเครื่องมือในมือและมองเธออยู่นาน ก่อนจะพูดว่า "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน"

เอมกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองเล็กๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากการเดินทางในเมืองหลวง แต่การปรับตัวกลับไม่ง่ายนัก ทุกอย่างดูเหมือนจะคงที่—ร้านหนังสือที่เธอรัก, สภาพแวดล้อมที่เธอคุ้นเคย—แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง

เธอเดินไปรอบๆ เมือง พบกับร้านขนมหวานเก่าๆ และสถานที่ที่เคยพาไปเดินเล่นกับภีม ความทรงจำดีๆ เหล่านั้นกลับมาท่วมท้นหัวใจ เธอรู้สึกว่าแม้จะกลับมายังที่เดิม แต่หัวใจของเธอก็ไม่ได้เหมือนเดิม

ภีมที่เคยเป็นคนเงียบๆ แต่ในช่วงที่เอมหายไป เขากลับดูเปลี่ยนไป เขาไม่ค่อยพูดมากเหมือนเดิม และมักจะหลบหน้าหรือพูดคุยเพียงแค่ผิวเผิน เอมรู้สึกว่าบางครั้งเขาก็หลบหลีกจากเธออย่างน่าแปลกใจ แม้จะรู้ว่าเขาพยายามไม่ทำให้เธอรู้สึกกดดัน แต่เอมก็ยังคงรับรู้ถึงความห่างเหินในใจของเขา

"ภีม..." เอมพูดขณะนั่งที่ร้านซ่อมจักรยานของเขา "เราเคยพูดกันเรื่องนี้แล้วนะ... ว่าเราจะไม่ให้มันเปลี่ยนไป"

ภีมหันมามองเธอ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความเครียด "ฉันแค่...ไม่อยากให้มันยากไปกว่านี้"

"มันไม่ยากหรอกค่ะ ภีม เราทั้งคู่ต่างก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน"

ภีมถอนหายใจยาวๆ "มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกเอม"

เอมรู้ว่าเธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม เธอเดินไปที่ร้านหนังสือและนั่งลงกับสมุดบันทึก พร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอเริ่มเขียนสิ่งที่อยู่ในใจ

"บางครั้งเราต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การที่เรารู้สึกว่าหัวใจเราเต็มไปด้วยสิ่งที่ยังค้างคา... มันไม่ใช่แค่เรื่องของเราเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่เรารักด้วย"

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและตัดสินใจโทรหานาวา

หลังจากที่ตัดสินใจโทรหานาวา เอมรู้สึกว่าการพูดคุยกับเขาจะช่วยให้เธอเคลียร์ความคิดที่ยังค้างคาอยู่

นาวารับโทรศัพท์ด้วยเสียงที่คุ้นเคย "เอม? ยังไงบ้าง?"

"ฉัน...กลับมาแล้วค่ะ" เอมพูด พร้อมเสียงที่ไม่ค่อยแน่ใจ "กลับมาแล้ว และ... ฉันคิดถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา"

"ผมคิดถึงคุณเหมือนกัน เอม" นาวาตอบเสียงนุ่ม "แต่ผมก็รู้ว่าคุณต้องการอะไรบางอย่างจากตัวเอง ผมไม่อยากทำให้คุณรู้สึกผูกมัด"

"ฉันรู้ค่ะ" เอมพูดแล้วถอนหายใจ "มันยากที่จะหาคำตอบ แต่ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าฉันต้องการอะไร"

หลังจากการพูดคุยกับนาวา เอมรู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการอะไรที่แปลกใหม่หรือสิ่งที่ห่างไกล เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งไปหาความสำเร็จในเมืองใหญ่ที่อาจทำให้เธอรู้สึกหลงทาง เธอรู้ว่าเธอแค่ต้องการสิ่งที่เรียบง่ายและมั่นคง—และมันคือที่นี่, กับภีม

ในวันถัดมา เอมไปหาภีมที่ร้านซ่อมจักรยานอีกครั้ง

"ภีม...ฉันอยากขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยากไป"

ภีมหันมามองเธออย่างไม่ค่อยเชื่อสายตา "เอม...เธอแน่ใจเหรอ?"

"ใช่ค่ะ ฉันแน่ใจแล้ว ว่าเราควรเริ่มต้นใหม่ ฉันไม่ต้องการให้สิ่งที่เรามีเปลี่ยนไป"

ภีมยิ้มออกมาอย่างช้าๆ และในที่สุดเขาก็พูดขึ้น "ถ้าเธอพร้อมแล้ว เราจะลองอีกครั้งไหม?"

เอมพยักหน้า "เราจะลองเริ่มต้นใหม่กันค่ะ"

การกลับมาพูดคุยและเริ่มต้นใหม่ทำให้ทั้งสองคนรู้ว่าความรักและมิตรภาพที่พวกเขามีไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปตามเวลา ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม—ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเอมและภีม และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตัวเองที่เอมได้ค้นพบ

ในที่สุด เอมก็รู้ว่าเธอจะได้อยู่ในที่ที่เธอรักและรู้สึกปลอดภัยที่สุด ที่บ้านของเธอในเมืองเล็กๆ ที่มีภีมเคียงข้าง

หลังจากการตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่กับภีม เอมก็ได้กลับมารู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง แม้จะยังมีคำถามในใจบ้าง แต่ความรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เธอรู้สึกคุ้นเคยและเข้าใจมันก็ทำให้เธอรู้สึกมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ

ชีวิตของพวกเขาค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม ภีมดูแลร้านซ่อมจักรยานและช่วยเอมจัดการร้านหนังสือ ทุกเช้าเขาจะทำกาแฟให้เธอและทั้งสองคนจะใช้เวลาคุยกันในร้านก่อนที่จะเริ่มงานในแต่ละวัน

แต่ในความสุขนั้นเอง ก็เริ่มมีสิ่งที่ท้าทายเข้ามา

หลายเดือนผ่านไป ในช่วงที่เอมและภีมเริ่มสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา นาวากลับเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง

เขามาที่ร้านหนังสือของเอมโดยไม่บอกล่วงหน้า เอมตกใจเมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า

"นาวา...?" เอมถามด้วยเสียงที่แปลกไป

นาวายิ้มเล็กน้อยและทักทายอย่างเป็นมิตร "สวัสดีครับ เอม"

เอมรู้สึกถึงความแปลกใหม่ในอากาศ ระหว่างเธอและนาวาเหมือนจะมีบางอย่างที่ยังไม่เคลียร์อยู่ และเมื่อเขาพูดขึ้นว่า "ผมกลับมาครั้งนี้เพราะ...อยากพูดบางอย่าง"

ภีมที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่สะดวกและความตึงเครียดในห้อง เขาไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาของเขาบอกว่าเขารู้สึกไม่สบายใจ

ช่วงหลายวันที่ผ่านมาหลังจากการมาของนาวา เอมเริ่มรู้สึกถึงความสับสนในใจ ความสัมพันธ์กับภีมที่เธอเคยคิดว่าเรียบง่ายกลับมีความซับซ้อนมากขึ้นในช่วงเวลานี้

เธอยังคงคิดถึงความทรงจำที่เคยมีร่วมกับนาวา และรู้สึกว่าเขายังคงมีบางอย่างที่เธอไม่สามารถลืมได้ ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับภีมก็เริ่มมีความตึงเครียด เขาเริ่มแสดงท่าทีกังวลมากขึ้นทุกครั้งที่เธอพูดถึงนาวา

"เอม... คุณคิดยังไงกับการที่เขากลับมา?" ภีมถามขึ้นในวันหนึ่งขณะนั่งอยู่ในร้านหนังสือ

เอมเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ "ฉันไม่แน่ใจค่ะภีม บางทีการที่เขากลับมาอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงบางอย่างที่เคยขาดหายไป"

"แต่คุณมีฉันอยู่นี่... เรามีกันและกันแล้วนะ" ภีมพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเจ็บปวดเล็กน้อย

เอมรับรู้ถึงความเจ็บปวดในน้ำเสียงของภีม และในขณะนั้นเธอก็รู้สึกถึงความขัดแย้งในใจที่ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้

คืนหนึ่งหลังจากที่นาวามาที่ร้านและคุยกับเธอในช่วงเวลาหนึ่ง เอมได้ไปเดินเล่นตามทางเดินของเมืองเล็กๆ อีกครั้ง ความเงียบสงบทำให้เธอคิดได้หลายอย่าง

เอมรู้ดีว่าเธอไม่สามารถหลบหนีจากการตัดสินใจที่ต้องทำได้อีกต่อไป ทั้งภีมและนาวามีความสำคัญในชีวิตเธอ แต่ไม่ว่าเธอจะเลือกใคร ก็คงจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมา

ตอนกลางคืนหลังจากคิดทบทวน เธอได้โทรหานาวา

"นาวา... ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ"

"คุณจะเลือกอะไร?" นาวาถามด้วยเสียงที่ฟังดูระมัดระวัง

"ฉัน...จะเลือกอยู่กับภีมค่ะ"

ความเงียบเกาะกุมไปหลายวินาที ก่อนที่นาวาจะตอบกลับอย่างนิ่ง "เข้าใจแล้วครับ เอม ผมขอให้คุณมีความสุขกับการตัดสินใจของคุณ"

หลังจากที่เอมเลือกภีม ชีวิตของเธอเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง แต่สิ่งที่เธอเรียนรู้คือการรักตัวเองและการเคารพการตัดสินใจของคนอื่น การที่เธอเลือกภีมไม่ได้หมายความว่าเธอไม่เคารพนาวา แต่เธอรู้ดีว่าเธอต้องการอะไรในชีวิต และเธอก็พร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า

ภีมเองแม้จะมีความกังวล แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของเอมอย่างเข้าใจ เขาพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเธอ

เอมและภีมเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน ทั้งสองคนเรียนรู้ที่จะเคารพกันและกันมากขึ้น ทั้งในการทำงานในร้านหนังสือและการใช้เวลาร่วมกันในทุกๆ วัน พวกเขาเริ่มเห็นความสำคัญของการแบ่งปันชีวิตและสนับสนุนซึ่งกันและกัน

เอมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เธอมั่นใจว่าความรักที่เธอมีต่อภีมคือสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้ และเธอพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าเคียงข้างเขา

ชีวิตของเอมและภีมดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างราบรื่นในช่วงหลายเดือนหลังจากการตัดสินใจของเอม แต่ในที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดเข้ามาทำให้ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ที่ทั้งสองไม่พร้อมสำหรับมัน

ในวันหนึ่ง ขณะที่เอมกำลังจัดระเบียบหนังสือในร้าน เธอได้รับโทรศัพท์จากภีมที่ดูเหมือนจะมีอารมณ์ตึงเครียด

"เอม... เราต้องคุยกันเรื่องสำคัญ" เสียงของภีมบอกด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เอมรู้สึกวิตกกังวล

เอมตกใจ "เกิดอะไรขึ้นเหรอ?"

ภีมเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับเสียงเครือ "ผมได้รับข้อเสนอจากร้านจักรยานในเมืองใหญ่น่ะ... เขาต้องการให้ผมไปเปิดสาขาที่นั่น"

เอมรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ชีวิตที่เธอสร้างขึ้นมาด้วยภีมในเมืองเล็กๆ ดูเหมือนจะถูกท้าทายจากสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน

การที่ภีมได้รับข้อเสนอให้ย้ายไปเมืองใหญ่นั้น ทำให้เอมต้องเผชิญกับคำถามที่เธอไม่อยากจะถามตัวเอง มันเป็นโอกาสที่ภีมไม่สามารถปฏิเสธได้ และในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา

"ภีม... นี่มันใหญ่เกินไปสำหรับเราใช่ไหม?" เอมถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

"ผมไม่รู้... ผมแค่คิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเรา" ภีมตอบ พร้อมเสียงที่ยังคงสั่นเล็กน้อย "แต่... ผมก็รู้ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่างถ้าเราจะไปที่นั่น"

เอมเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดเสียงต่ำ "ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่นั่นได้หรือเปล่า เรามีทุกอย่างที่นี่แล้ว... มีร้านหนังสือ มีชีวิตที่สงบ และ... มีความสุข"

ภีมเดินไปข้างๆ เอมและยื่นมือไปจับมือเธอ "เอม... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็อยากให้เราอยู่ด้วยกัน ถ้าเราตัดสินใจไปที่นั่น มันจะต้องเป็นการตัดสินใจที่เราทำด้วยกัน"

เอมรู้ดีว่าความรักและความสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้ทุกอย่างง่ายได้เสมอไป เธอรู้ว่าเธอรักภีมมาก แต่การต้องย้ายไปเมืองใหญ่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่มั่นใจว่าจะสามารถปรับตัวได้หรือไม่

ในขณะที่ภีมเดินทางไปยังเมืองใหญ่เพื่อสำรวจและคิดถึงข้อเสนอ เอมกลับรู้สึกเครียดกับการตัดสินใจที่รออยู่ สิ่งที่เธอทำมาตลอดคือการใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ ที่อบอุ่นและเงียบสงบ และตอนนี้เธอกลับต้องตัดสินใจว่าจะทิ้งทุกอย่างและตามไป หรือจะเลือกที่จะอยู่และสร้างอนาคตใหม่ในที่ที่คุ้นเคย

เธอเริ่มเดินไปที่ร้านหนังสือและนั่งลงในมุมที่เคยเป็นที่พักผ่อนของเธอ เธอเริ่มเขียนลงในสมุดบันทึกของตัวเอง

"บางครั้ง การตัดสินใจที่ยากที่สุดไม่ใช่เรื่องของการเลือกว่าควรทำอะไร แต่คือการยอมรับว่าบางครั้งชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกอย่างจะพาเราไปในทางที่เราเลือก"

ในที่สุดภีมกลับมาจากการเดินทาง เขามาที่ร้านหนังสือและมาหาเอมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

"เอม... ผมต้องการคำตอบจากคุณ ผมไม่อยากตัดสินใจคนเดียว" ภีมพูดเสียงหนัก

เอมมองเขาและถอนหายใจ "ภีม... ฉันไม่รู้ว่าฉันพร้อมหรือเปล่า แต่ว่า... ถ้าเราต้องการจะทำมัน เราจะทำมันด้วยกัน"

ภีมหันมามองเธอด้วยความหวัง "คุณหมายถึงอะไร?"

"หมายถึง... เราจะทำการตัดสินใจนี้ร่วมกันค่ะ เราจะไปที่นั่นพร้อมกัน แต่เราจะต้องสัญญาว่าเราจะไม่ลืมสิ่งที่เรามีที่นี่ และเราจะไม่ทิ้งกันไปไหน"

เมื่อเอมและภีมตัดสินใจที่จะย้ายไปเมืองใหญ่ พวกเขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่การย้ายที่อยู่ แต่คือการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ทั้งสองคนต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในเมืองใหญ่ พวกเขาต้องทำงานหนักเพื่อสร้างสิ่งใหม่ในสถานที่ใหม่

แม้จะยากในตอนแรก แต่เอมและภีมเรียนรู้ที่จะทำให้ทุกอย่างเข้ากันได้ โดยการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งสองคนเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่มาง่ายๆ แต่การที่พวกเขายังมีแต่กันและกันมันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

การย้ายไปเมืองใหญ่ไม่ง่ายเหมือนที่เอมและภีมเคยคิดไว้ พวกเขาต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ และความท้าทายในชีวิตใหม่ก็เริ่มทำให้พวกเขารู้สึกถึงความยากลำบากที่ไม่เคยคาดคิด

ภีมเริ่มทำงานที่ร้านจักรยานแห่งใหม่และต้องเรียนรู้การจัดการที่ไม่เหมือนที่เขาทำในเมืองเล็กๆ ทุกวันเขาต้องทำงานหนัก และบางครั้งก็ต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อทำให้ร้านของเขาประสบความสำเร็จ ในขณะที่เอมก็ต้องหางานใหม่เพื่อช่วยเสริมรายได้ ทั้งสองคนแทบจะไม่ค่อยมีเวลาสำหรับกันและกันเหมือนตอนที่อยู่ในเมืองเล็กๆ

การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกเครียดและเหงาในบางครั้ง แม้จะอยู่ใกล้กัน แต่ก็เหมือนโลกของพวกเขาจะห่างกันไปทีละน้อย

ภีมเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม เขาหงุดหงิดและเครียดจากการทำงานที่ท้าทายมากขึ้น เขาไม่ค่อยมีเวลาให้เอมและเริ่มมองไม่เห็นความสำคัญของการใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

เอมรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ในตัวของภีม และมันทำให้เธอเริ่มคิดถึงสิ่งที่เธอสูญเสียไปจากการย้ายไปเมืองใหญ่ เธอคิดถึงร้านหนังสือในเมืองเล็กๆ ความเงียบสงบ และการที่ได้อยู่ใกล้ภีมโดยที่ไม่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา

ในขณะที่ภีมพยายามปรับตัวให้เข้ากับงานใหม่ เอมก็พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกว่าการย้ายมาเมืองใหญ่นั้นมีความหมาย แต่ความรู้สึกที่ไม่สมบูรณ์ในหัวใจของเธอกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน

วันหนึ่งหลังจากที่ภีมทำงานล่วงเวลาและกลับมาที่บ้านในตอนดึก เขาพบว่าเอมยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเก่าของเธอจากเมืองเล็กๆ และหัวเราะอย่างสนุกสนาน

ภีมมองไปที่เธอด้วยสายตาที่ไม่พอใจ "ทำไมไม่พักผ่อนบ้างล่ะ?"

เอมวางโทรศัพท์ลงและหันไปมองเขา "ฉันแค่คิดถึงบางสิ่งที่เคยมีที่นั่น... ชีวิตที่ไม่ต้องวิ่งตามเวลาและไม่ต้องแข่งขันกับทุกคน"

ภีมถอนหายใจและเดินไปนั่งข้างๆ เธอ "เอม... มันเป็นแค่ช่วงเวลาที่เราต้องปรับตัว เราไม่มีทางกลับไปแล้ว"

"ฉันรู้ค่ะ" เอมตอบด้วยเสียงเบา "แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนเราห่างกันไปทุกที"

ภีมมองเธอด้วยแววตาที่เศร้า "ฉันแค่... อยากให้เราเริ่มต้นใหม่ในที่นี่"

เอมก้มหน้าลงและเงียบไป ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจที่เธอทำไป

เอมเริ่มหันไปหาความช่วยเหลือจากคนอื่น เมื่อเธอรู้สึกว่าเธอไม่สามารถบรรเทาความเครียดในใจได้เอง เธอเริ่มเข้าไปที่คาเฟ่เล็กๆ ใกล้ๆ ร้านของเธอซึ่งมักมีนักเขียนและคนทำงานศิลปะมานั่งกัน เป็นที่ที่เธอรู้สึกผ่อนคลายและสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองได้

ในคาเฟ่ เธอได้พบกับเจน เพื่อนนักเขียนที่เธอเคยพบในระหว่างที่ทำงานในเมืองเล็กๆ เจนมีมุมมองที่เปิดกว้างและสามารถช่วยเอมคิดและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้

"เอม... บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ" เจนกล่าวอย่างมีสติ "คุณต้องให้เวลาและพื้นที่กับตัวเอง และถ้าคุณรู้สึกว่าคุณและภีมเริ่มห่างกัน คุณต้องเปิดใจคุยกับเขา"

เอมรู้สึกขอบคุณที่เจนช่วยให้มุมมองของเธอชัดเจนขึ้น เธอตัดสินใจว่าจะต้องพูดคุยกับภีมอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง เพื่อให้ทั้งสองคนเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา

ในวันหนึ่งหลังจากการทำงานหนักทั้งวัน เอมขอให้ภีมมานั่งคุยกันที่บ้าน โดยไม่มีสิ่งใดมาขัดจังหวะ พวกเขานั่งลงในห้องนั่งเล่นและเริ่มต้นการสนทนาด้วยความระมัดระวัง

"ภีม... ฉันต้องพูดกับคุณจริงๆ" เอมเริ่มต้น "ฉันรู้สึกว่าชีวิตของเรากำลังจะหลุดออกจากกัน เราทำงานหนักมากจนไม่เหลือเวลาสำหรับกันและกันเลย"

ภีมมองเธอและถอนหายใจ "ผมก็รู้ว่ามันยาก แต่เราต้องทำงานเพื่ออนาคตเรา"

"ใช่ แต่ความรักและความสัมพันธ์ก็คืออนาคตของเราด้วย" เอมตอบ "ฉันไม่อยากให้มันจางหายไปในความยุ่งเหยิงของชีวิตนี้"

ภีมมองเอมในที่สุด "ผมขอโทษครับ เอม... ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกแบบนี้"

"เราต้องหาวิธีในการกลับมาสู่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราอีกครั้งค่ะ" เอมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง

หลังจากการพูดคุยที่ลึกซึ้ง เอมและภีมตัดสินใจที่จะหาวิธีสร้างสมดุลในชีวิต พวกเขาตกลงกันว่าไม่ว่าอุปสรรคจะเข้ามามากแค่ไหน พวกเขาจะพยายามให้เวลาคุณภาพแก่กันและกันมากขึ้น เพื่อไม่ให้ความรักของพวกเขาจืดจางไป

พวกเขาเริ่มกลับมาใช้เวลาด้วยกันในช่วงสุดสัปดาห์ ทำกิจกรรมที่สนุกสนานร่วมกัน และค่อยๆ พยายามปรับตัวให้เข้ากับเมืองใหญ่โดยไม่สูญเสียตัวตนของตัวเอง

หลายเดือนหลังจากที่เอมและภีมเริ่มปรับตัวในเมืองใหญ่ ชีวิตของทั้งคู่เริ่มเข้าสู่เส้นทางที่เหมือนจะเป็นความสมดุลระหว่างการทำงานและความสัมพันธ์ แต่ความท้าทายใหม่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นในรูปแบบที่ไม่คาดคิด

ภีมเริ่มรู้สึกถึงความกดดันจากการทำงานมากขึ้น เนื่องจากร้านจักรยานของเขากำลังเจริญเติบโตและเขาต้องดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง รวมถึงการขยายสาขาใหม่ ซึ่งทำให้เขาแทบไม่มีเวลาให้กับเอมเหมือนในช่วงแรกๆ ที่พวกเขาย้ายมา

เอมเริ่มรู้สึกว่าความเครียดของภีมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา ถึงแม้จะเข้าใจว่าเขากำลังทำงานเพื่ออนาคตของพวกเขา แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนว่าความรักของพวกเขากำลังเริ่มจืดจางไป

เอมเองก็รู้สึกไม่พอใจกับชีวิตในเมืองใหญ่สักเท่าไร ความเงียบสงบที่เธอเคยมีในเมืองเล็กๆ เริ่มหายไป และเธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองยังไม่สามารถหาจุดยืนที่แท้จริงในเมืองนี้ได้ ทั้งการหางานที่เธอรักและความรู้สึกของการเป็น "คนต่างถิ่น" ที่ยังไม่คุ้นเคยกับสิ่งใหม่ๆ ทำให้เธอรู้สึกหลงทาง

วันหนึ่ง ขณะที่เธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งหลังจากเลิกงาน เจนเพื่อนนักเขียนที่เคยพบกันที่คาเฟ่ก่อนหน้านี้เข้ามาทักทาย

"เอม... ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสบายใจเลยนะ" เจนพูดเบาๆ ขณะนั่งลงข้างๆ

เอมยิ้มบางๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนเธอไม่สามารถปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้ "ใช่ค่ะ... ฉันรู้สึกเหมือนชีวิตในที่นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันเคยฝันไว้เลย"

เจนพยักหน้า "ชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะรับมือได้ง่ายๆ หลายคนมาที่นี่เพื่อหาความสำเร็จ แต่บางครั้งพวกเขากลับลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต"

เอมถอนหายใจ "ใช่... ฉันเริ่มรู้สึกว่าเราห่างกันไปเรื่อยๆ และมันไม่ใช่แค่ภีมกับฉัน... แต่เป็นตัวฉันเองด้วย"

ในขณะที่เอมพยายามหาทางออกจากความรู้สึกนี้ เธอได้ตัดสินใจพูดคุยกับภีมอีกครั้งเกี่ยวกับสิ่งที่เธอกำลังรู้สึก หลังจากที่เธอเห็นว่าเขาเริ่มเอาแต่ทำงานจนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

ในคืนหนึ่ง หลังจากภีมกลับมาจากการทำงานดึกๆ เอมจึงตัดสินใจที่จะพูดกับเขา "ภีม... เราต้องคุยกัน"

ภีมหันมามองเธอด้วยความรู้สึกกังวล "มีอะไรหรือเอม?"

เอมกลืนคำพูดของตัวเองไปแล้วพูดออกมา "ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังห่างกันไปเรื่อยๆ ความเครียดจากการทำงานของคุณ ทำให้เราแทบไม่มีเวลาสำหรับกันและกัน และฉันก็รู้สึกว่า... ตัวเองก็ไม่ใช่ตัวเองเหมือนเดิม"

ภีมทำท่าทางเครียด "เอม... ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรปล่อยให้ทุกอย่างเข้ามาขวางความสัมพันธ์ของเรา แต่ฉันแค่กลัวว่า... ถ้าเราไม่ทำงานหนัก เราจะไม่ได้สิ่งที่เราต้องการในอนาคต"

เอมเงียบไป ก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก "ฉันไม่อยากให้อนาคตของเรา... เป็นสิ่งที่เราสูญเสียอะไรไปในตอนนี้"

ภีมและเอมเริ่มพูดคุยกันอย่างเปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากชีวิตในอนาคต พวกเขาตระหนักว่า ความสำเร็จในอาชีพการงานอาจจะไม่สามารถเติมเต็มความรักและความสัมพันธ์ที่มีค่าที่สุดได้ พวกเขาต้องหาทางสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

"ภีม... เราจะต้องหาวิธีใหม่ในการใช้เวลาให้ดีขึ้นค่ะ" เอมพูดด้วยความมั่นใจ "เราอาจจะต้องยอมลดความคาดหวังในบางเรื่อง เพื่อให้เรามีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญที่สุด"

ภีมพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะยิ้มให้เอม "ใช่... เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"

หลังจากที่ได้พูดคุยและเปิดใจกันเอมและภีมก็เริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ พวกเขาตัดสินใจที่จะทำงานร่วมกันเพื่อหาวิธีสร้างสมดุลในชีวิต ทั้งสองคนตกลงที่จะลดเวลาทำงานลงบ้าง และใช้เวลาให้มากขึ้นกับการเดินทางด้วยกัน การทำกิจกรรมที่พวกเขาชอบ และการให้ความสำคัญกับความรักของพวกเขามากกว่าสิ่งอื่นใด

ชีวิตของเอมและภีมในเมืองใหญ่ยังคงเต็มไปด้วยการปรับตัว ทั้งสองพยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสมดุลระหว่างการทำงานและความสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนว่าความท้าทายใหม่ๆ จะไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาหายใจสะดวกได้

ในช่วงหลายเดือนหลังจากที่พวกเขาได้ตกลงกันในการลดเวลาในการทำงานและเพิ่มเวลาให้แก่กันและกัน ภีมก็เริ่มรู้สึกถึงความกดดันจากการขยายร้านจักรยาน เขาต้องรับผิดชอบหลายด้านมากขึ้น ตั้งแต่การจัดการสต็อก การจ้างพนักงานใหม่ ไปจนถึงการทำการตลาดและขยายธุรกิจ

วันหนึ่ง ขณะที่ภีมกำลังวุ่นวายกับการประชุมธุรกิจ เขาก็ได้รับข่าวสำคัญจากหุ้นส่วนของเขาว่าแผนการขยายร้านอาจจะต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากการเงินของร้านไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ทำให้ภีมรู้สึกถึงความเครียดอย่างหนัก

เขากลับมาที่บ้านในตอนเย็น สภาพเหนื่อยล้าและเครียดมากกว่าเดิม เอมเห็นเขามาถึงพร้อมกับท่าทีที่ไม่ดีนัก

"ภีม... เกิดอะไรขึ้น?" เอมถามด้วยความเป็นห่วง

ภีมยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะตอบเสียงเบา "เราอาจจะต้องเลื่อนแผนการขยายร้านออกไป... การเงินไม่พอ"

เอมตกใจ แต่ก็พยายามทำใจให้สงบ "แต่เราเคยพูดกันแล้วไม่ใช่เหรอว่า เราจะผ่านไปด้วยกัน?"

ภีมถอนหายใจและนั่งลงที่เก้าอี้ "ใช่... แต่ตอนนี้มันไม่ง่ายเลย เอม ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มจะหลุดมือไป"

หลังจากเหตุการณ์นั้น เอมและภีมรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนทางที่ไม่มีความแน่นอน พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากเกี่ยวกับอนาคตของร้านจักรยาน รวมถึงอนาคตของความสัมพันธ์ของพวกเขาเอง

เอมเข้าใจดีว่าภีมต้องการความมั่นคงในการทำงาน แต่เธอเริ่มสงสัยในตัวเองว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสามารถดำเนินต่อไปได้ในท่ามกลางความเครียดและความกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการทำงาน

"ภีม... ฉันอยากให้เราพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง" เอมพูดเบาๆ ขณะนั่งข้างๆ เขา

"เรื่องอะไร?" ภีมถามพร้อมกับมองไปที่เธอ

"เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ฉันรู้ว่าเราเผชิญกับหลายสิ่ง แต่เราจะยังคงยืนหยัดไปด้วยกันได้ยังไงในสภาพแบบนี้?" เอมถามออกมาด้วยความกังวล

ภีมมองเธอด้วยสายตาที่เครียด "ฉันไม่อยากให้ความรักของเราเป็นภาระที่เพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้มันยากจริงๆ เอม ฉันต้องการเวลาในการจัดการเรื่องนี้"

เอมรู้สึกถึงความไม่แน่ใจในน้ำเสียงของภีม แม้ว่าเธอจะพยายามเข้าใจ แต่ความกลัวที่ว่าเขาจะต้องยอมแพ้ทั้งในเรื่องธุรกิจและในความรักก็เริ่มทำให้เธอหวั่นใจ

ช่วงเวลาที่ทั้งสองคนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนก็ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ เอมเริ่มตระหนักว่าเธออาจจะต้องทำบางอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับมามีทิศทางอีกครั้ง

วันหนึ่ง หลังจากที่ภีมทำงานหนักจนกลับมาบ้านในสภาพเหนื่อยล้า เอมจึงตัดสินใจพูดคุยเรื่องสำคัญกับเขา "ภีม... ฉันไม่อยากให้เราทำร้ายกันโดยไม่รู้ตัว"

"อะไรนะ?" ภีมถาม

"เราอาจจะต้องพิจารณาหาทางเลือกอื่นในเรื่องงาน ฉันรู้ว่าเธออยากให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ แต่บางครั้งการหยุดพักสักครั้งก็อาจจะทำให้เรามีมุมมองที่ชัดเจนขึ้น"

ภีมมองเอมด้วยความอึดอัด "คุณหมายความว่าไง?"

"หมายความว่า เราต้องให้เวลาพวกเราได้หายใจ เพื่อให้เราไม่หลงลืมสิ่งที่สำคัญในชีวิต" เอมตอบ "และถ้าคุณยังรู้สึกว่าความรักของเราไม่สามารถพัฒนาไปได้ในตอนนี้ ฉันอาจจะต้องหาทางเดินของตัวเอง"

ภีมมองเธอเงียบๆ และถอนหายใจ "ฉันไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้น เอม... ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง"

ในที่สุด เอมตัดสินใจว่าเธอต้องให้เวลาและพื้นที่แก่ตัวเองเพื่อทบทวนความสัมพันธ์นี้ เธอเริ่มหันไปหางานที่เธอรักมากขึ้น ทำให้ชีวิตของเธอมีความหมายและมีทิศทางที่ชัดเจนในตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

ขณะที่ภีมยังคงพยายามแก้ไขปัญหาธุรกิจของตัวเอง เขาก็เริ่มเข้าใจว่าเขาต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ซึ่งไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและมีความสุขร่วมกันกับเอม

หลายเดือนหลังจากนั้น เอมและภีมเริ่มมีความเข้าใจในตัวเองและในความสัมพันธ์ของพวกเขามากขึ้น พวกเขาทั้งสองเรียนรู้ที่จะปรับสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน และเริ่มต้นใหม่ในฐานะคู่รักที่เข้าใจกันมากขึ้น

พวกเขาตระหนักว่า ไม่ว่าจะมีความท้าทายอะไรเข้ามาในชีวิต ความรักและการสนับสนุนจากกันและกันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ทั้งคู่เดินต่อไปได้

ในขณะที่เอมและภีมกำลังเดินทางมาถึงจุดที่พวกเขาคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามั่นคงแล้ว และการทำงานก็เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ความสงบสุขที่พวกเขามีกำลังจะถูกทดสอบอีกครั้ง เมื่อใครบางคนจากอดีตของเอมกลับมาปรากฏตัว

มันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ธรรมดา เอมและภีมได้ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้บ้านหลังจากการทำงานหนักมาเป็นเดือนๆ ระหว่างทางกลับบ้าน เอมเจอชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าร้านกาแฟที่เธอมักไปบ่อยๆ ชายคนนั้นดูคุ้นตาและเหมือนจะกำลังรอใครสักคน

เขาหันมาทางเอม เมื่อเห็นเขา เอมก็รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ มันคือ นาวา ช่างภาพหนุ่มจากเมืองหลวงที่เคยเป็นคนสำคัญในชีวิตของเธอ

"เอม..." นาวาเรียกชื่อเธอเบาๆ

เอมยืนอยู่กับความรู้สึกปะปนระหว่างความตกใจและความงุนงง "นาวา... คุณมาได้ยังไง?"

นาวายิ้มบางๆ ขณะที่เขาเดินเข้ามาหา "ผมกลับมาที่นี่ เพื่อทำโปรเจกต์บางอย่าง... แต่คิดถึงคุณเลยมาหา"

ภีมที่ยืนข้างๆ เอมก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจที่เกิดขึ้น เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทางของเอม ที่เหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจว่าเธอควรทำตัวอย่างไรกับการเจอนาวาอีกครั้ง

ในคืนนั้น เมื่อภีมและเอมกลับมาที่บ้าน เอมก็เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดที่ลอยอยู่ในอากาศ ท่ามกลางความเงียบสงัด ภีมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวล

"เอม... นาวากลับมาอีกแล้วเหรอ?"

เอมมองหน้าภีมด้วยความลังเล "ใช่ค่ะ... เขามาที่นี่เพื่อโปรเจกต์ถ่ายภาพบางอย่าง"

ภีมเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง "แล้วคุณรู้สึกยังไงกับการเจอนาวาอีกครั้ง?"

เอมรู้สึกว่ามีความไม่ชัดเจนในตัวเองที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง เธอไม่อยากให้ภีมเข้าใจผิด แต่ก็รู้สึกว่าความรู้สึกบางอย่างที่เธอเคยมีต่อหนุ่มช่างภาพนั้นยังไม่หายไปหมด

"ภีม... ฉันไม่แน่ใจว่าเราจะพูดเรื่องนี้กันยังไง แต่เราคงต้องเผชิญกับมันนะ" เอมพูดอย่างซื่อสัตย์

ภีมมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและความกังวล "คุณยังคิดถึงเขาอยู่ไหม?"

เอมสบตาภีม ก่อนที่จะตอบเสียงเบา "ไม่ใช่ว่าฉันคิดถึงเขา... แต่มันก็ยากที่จะลืมคนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต"

ในช่วงหลายวันถัดมา เอมรู้สึกถึงความสับสนในใจตัวเอง เธอพยายามให้ความสำคัญกับภีมและความสัมพันธ์ที่ทั้งสองได้สร้างขึ้น แต่เธอกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างจากอดีตที่ยังตามหลอกหลอนอยู่

นาวายังคงติดต่อมาเพื่อชวนเธอไปดื่มกาแฟ หรือไปถ่ายภาพด้วยกันเหมือนเช่นในอดีต เอมรู้สึกเหมือนมีความดึงดูดทางอารมณ์ที่ไม่สามารถละเลยได้ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ดีว่าเธอมีภีมที่อยู่เคียงข้างเธอ และเธอไม่อยากให้เขารู้สึกเจ็บปวด

เอมจึงตัดสินใจคุยกับนาวาอย่างเปิดใจในวันหนึ่ง "นาวา... ฉันคิดว่าเราไม่ควรพบกันบ่อยๆ แบบนี้แล้วนะ"

นาวามองเธอด้วยแววตาเศร้า "คุณหมายความว่าไง?"

"หมายความว่า... ฉันต้องการเดินหน้ากับชีวิตของฉันกับภีมจริงๆ ฉันต้องให้เขาและตัวเองมีพื้นที่ที่จะเติบโต" เอมพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

นาวานิ่งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า "ฉันเข้าใจ เอม ฉันแค่ไม่อยากให้คุณลืมสิ่งที่เคยเป็น"

ในที่สุด เอมตัดสินใจว่าเธอจะต้องเลือกและยืนหยัดในความสัมพันธ์ที่เธอมีอยู่กับภีม เธอเริ่มให้ความสำคัญกับการพูดคุยและการใช้เวลาร่วมกับภีมมากขึ้น ภีมเองก็เริ่มเข้าใจในตัวของเอมมากขึ้น และทั้งสองตกลงที่จะเปิดใจและแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น

หลังจากที่เอมและภีมตัดสินใจที่จะมุ่งมั่นและพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาใหม่ พวกเขารู้ดีว่าการเดินหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีหลายสิ่งที่ยังต้องจัดการและเผชิญอยู่

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ภีมเริ่มขยายร้านจักรยานมากขึ้นและทำงานหนักขึ้น รวมถึงต้องรับมือกับปัญหาธุรกิจที่ยากลำบาก ซึ่งมันเริ่มส่งผลต่อเวลาที่เขามีให้กับเอมมากขึ้นเรื่อยๆ

เอมรู้สึกถึงระยะห่างที่ค่อยๆ เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา แม้ภีมจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทั้งสองคนไม่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ แต่เธอก็เริ่มรู้สึกว่าเวลาและความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังถูกทดสอบอย่างหนัก

วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองนั่งทานอาหารค่ำด้วยกันที่บ้าน เอมตัดสินใจพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง

"ภีม... ฉันรู้ว่าเธอทำงานหนักเพื่ออนาคตของเรา แต่บางทีฉันเริ่มรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันแล้ว" เอมพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า

ภีมเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบ "เอม... ฉันแค่ไม่อยากให้เราพลาดโอกาสที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ฉันก็ไม่อยากให้เราห่างกัน"

"แต่มันเหมือนเรากำลังห่างกันมากขึ้นทุกวันเลยนะ" เอมพูดขัด

ภีมลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง "ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง... แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันยากจริงๆ เอม"

เอมรู้สึกหัวใจเจ็บปวดเมื่อเห็นภีมในสภาพนั้น เธอรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ความพยายามของภีม แต่เป็นความท้าทายที่ทั้งสองคนต้องเผชิญไปพร้อมๆ กัน

ในช่วงหลายสัปดาห์ถัดมา เอมเริ่มทบทวนถึงความหมายของชีวิตเธอในตอนนี้ เธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป เมื่อชีวิตคู่ของเธอกำลังเข้าสู่ทางตัน ไม่ใช่เพราะรักกันน้อยลง แต่เพราะภาระหน้าที่และความเครียดที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้

เอมตัดสินใจที่จะพูดคุยกับภีมอย่างจริงจัง "ภีม... ฉันรู้ว่าเราทั้งสองกำลังทำงานหนักเพื่ออะไรบางอย่าง แต่ฉันรู้สึกว่าเราเริ่มห่างกันไปเรื่อยๆ"

ภีมหันมามองเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเครียดและสับสน "เอม... ฉันทำทั้งหมดนี้เพราะฉันอยากให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น เราต้องสู้ต่อไป"

"แต่ชีวิตที่ดีขึ้นมันไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกับการเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป... อย่างการอยู่ด้วยกัน" เอมตอบเสียงเบา

ทั้งสองเงียบไป สองคนต่างคิดในใจถึงสิ่งที่ยังค้างคาและสิ่งที่ทั้งคู่ต้องเลือก

ในที่สุดภีมก็ตัดสินใจยอมรับว่าเขาต้องเปลี่ยนวิธีการจัดการชีวิตและการทำงาน เขาเริ่มมองหาวิธีที่จะปรับสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้เวลาร่วมกับเอมให้มากขึ้น เขาตัดสินใจลดชั่วโมงการทำงานและใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้รับการใส่ใจ

ในขณะเดียวกัน เอมเองก็เริ่มพัฒนางานของตัวเองอย่างจริงจัง เธอเริ่มหมั่นเขียนนิยายมากขึ้น และได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์ที่สนใจในผลงานของเธอ ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความสำเร็จในชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว

การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของทั้งสองคนเริ่มส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา เมื่อพวกเขาสามารถแบ่งเวลาระหว่างการทำงานและการใช้เวลาร่วมกันได้มากขึ้น ความสัมพันธ์ของเอมและภีมกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิม

ภีมรู้สึกว่าเขาได้ตัดสินใจถูกต้องเมื่อเขาเลือกที่จะให้ความสำคัญกับเอมมากขึ้น และทั้งสองเริ่มมองไปข้างหน้าโดยไม่พะวงกับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น

ในตอนที่ทั้งสองนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินที่สวนสาธารณะเหมือนในวันแรกที่พวกเขารู้จักกัน เอมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม "บางครั้งชีวิตก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เราเข้าใจสิ่งที่สำคัญที่สุด"

ภีมมองเธอด้วยความรัก "ใช่... และการมีเธออยู่ข้างๆ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน"

หลายเดือนผ่านไป เอมและภีมกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น พวกเขาหันกลับมาดูแลความสัมพันธ์ด้วยความเข้าใจและการเปิดใจให้กันมากขึ้น ทั้งสองคนต่างรู้ว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความท้าทายและการทำงานหนักอาจจะทำให้เกิดช่องว่างในความสัมพันธ์ได้ แต่พวกเขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะหาวิธีการปรับสมดุลในชีวิตให้ดีที่สุด

ทว่า ความท้าทายใหม่กลับเข้ามาทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาอย่างไม่คาดคิด เมื่อภีมได้รับข้อเสนอจากบริษัทจักรยานใหญ่ที่ต้องการให้เขาย้ายไปทำงานที่เมืองหลวง เพื่อขยายธุรกิจและรับผิดชอบโปรเจกต์ใหญ่ ซึ่งมันจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา แต่ก็หมายความว่าเขาจะต้องห่างจากเอมและเมืองเล็กๆ ที่เขาเคยรัก

ภีมเริ่มลังเลว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อการทำงานในเมืองหลวงจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขากับเอมที่เพิ่งกลับมาดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าโอกาสนี้อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล

คืนหนึ่ง หลังจากที่ภีมกลับมาจากการประชุมเกี่ยวกับข้อเสนอจากบริษัท เอมก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในท่าทางของเขา "ภีม... ฉันรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่คุณยังไม่ได้บอกฉัน" เอมถามอย่างกังวล

ภีมมองเธอด้วยดวงตาที่แสดงความกล้าและความลังเล "มันคือข้อเสนอจากบริษัทจักรยาน... พวกเขาต้องการให้ฉันย้ายไปทำงานที่เมืองหลวง" เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองเธอ "มันจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเรา... สำหรับอนาคตของเรา"

เอมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง สิ่งที่เธอเคยรู้จักดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม "แล้ว... คุณจะเลือกอะไร?" เธอถามด้วยความหวั่นใจ

ภีมหลับตาลงก่อนจะตอบ "ฉันยังไม่รู้... ฉันอยากให้เราไปด้วยกัน แต่ก็กลัวว่ามันจะทำให้เราห่างกันไปอีก"

เอมจึงตัดสินใจพูดออกไปในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก "ถ้าคุณเลือกไป... ฉันจะเคารพการตัดสินใจของคุณ แต่ฉันก็รู้ว่าเราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน"

เอมเองก็รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเริ่มคิดถึงความสำคัญของการทำตามความฝันและการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ทั้งในด้านการงานและความสัมพันธ์

หลังจากหลายวันของการทบทวนและการพูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง เอมตัดสินใจที่จะสนับสนุนภีมในการเลือกทำตามความฝันของตัวเอง "ถ้าคุณคิดว่าโอกาสนี้จะช่วยให้เราเติบโตได้ ฉันก็อยากให้คุณไป"

ภีมมองหน้าเอมด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน "แต่คุณจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหรอ?"

"ฉันเคยอยู่คนเดียวมาก่อน และฉันเชื่อว่าเราทั้งสองคนจะยังคงเชื่อมโยงกัน แม้ว่าจะห่างไกลกัน" เอมยิ้มบางๆ ก่อนจะบอกต่อ "เราจะหาวิธีในการรักษาความสัมพันธ์นี้ต่อไป"

ภีมรู้สึกขอบคุณที่เอมเข้าใจและสนับสนุนการตัดสินใจของเขา เขาตัดสินใจจะย้ายไปทำงานที่เมืองหลวงในไม่ช้า โดยทั้งสองคนตกลงว่าจะพยายามทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เป็นการขัดขวางความรักของพวกเขา

ภีมย้ายไปทำงานที่เมืองหลวงตามข้อเสนอของบริษัท แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เอมต้องทำงานที่ร้านหนังสือและพัฒนาผลงานเขียนของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยที่ทั้งสองคนต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาความสมดุลระหว่างชีวิตและความรัก

เวลาผ่านไป สถานการณ์เริ่มจะดีขึ้น เมื่อภีมและเอมเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีในการติดต่อกันมากขึ้น ทั้งสองเริ่มคุ้นเคยกับการมีชีวิตที่ห่างไกลกัน แต่ก็ยังคงรักและสนับสนุนซึ่งกันและกัน

แม้ความรักของพวกเขาจะยังคงมั่นคง แต่พวกเขาก็รู้ว่าในอนาคตอาจจะมีการทดสอบที่ยากขึ้น เมืองหลวงและการทำงานที่ท้าทายอาจจะทำให้ชีวิตของทั้งสองคนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญคือ ทั้งสองยังคงเชื่อมั่นในกันและกัน และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปกับความรักที่พวกเขาเลือก

ในวันที่ภีมต้องเดินทางไปทำงานอีกครั้ง เอมยืนอยู่ที่สนามบินและยิ้มให้กับเขา "เราจะไปด้วยกันในวันหนึ่ง" เธอพูดเบาๆ

ภีมโอบเอมไว้ก่อนจะตอบ "ใช่ เราจะไปด้วยกันเสมอ"

การเดินทางของเอมและภีมในชีวิตคู่ที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เริ่มทวีความซับซ้อนขึ้น เมื่อทั้งสองคนต้องทบทวนชีวิตของตัวเองอีกครั้ง เมื่อภีมเริ่มรู้สึกถึงความเครียดจากงานในเมืองหลวงมากขึ้น เขากลับมาที่เมืองเล็กๆ เพื่อพักผ่อนและหาคำตอบบางอย่างจากเอม

เอมรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในตัวภีม เขากลายเป็นคนที่เครียดและไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม ความห่างเหินเริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เพราะระยะทาง แต่ดูเหมือนความคิดและความฝันของภีมกำลังเปลี่ยนไป

"เอม... ฉันรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฉันเหนื่อยกับทุกสิ่งที่ต้องรับผิดชอบในเมืองหลวง" ภีมพูดออกมาอย่างท้อแท้

เอมมองเขาด้วยสายตาที่เข้าใจ "ภีม... ฉันรู้ว่ามันยาก แต่บางครั้งการก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่การมีทุกอย่างที่สมบูรณ์แบบ มันคือการยอมรับว่าเราอาจต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง"

ภีมถอนหายใจอย่างหนักหน่วง "ฉันกลัวว่าฉันจะสูญเสียตัวเองไปในกระแสของชีวิตที่นี่ เอม... ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับไปที่เราเดิมได้ไหม"

หลังจากการพูดคุยยาวนาน เอมและภีมตัดสินใจที่จะหยุดพักจากกันชั่วคราวเพื่อหาคำตอบในใจของตัวเอง เอมรู้ดีว่าเธอต้องการเวลาที่จะค้นหาความหมายของชีวิตและความรักที่แท้จริง ส่วนภีมต้องทำความเข้าใจว่าเขาต้องการอะไรในอนาคต โดยไม่ต้องให้ความสัมพันธ์ทำให้เขารู้สึกอึดอัด

"เราทั้งสองคนต้องการการเติบโตในทางของเราเอง เอม" ภีมพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้า "บางทีเราต้องหาคำตอบในตัวเองก่อน"

เอมพยักหน้าอย่างเข้าใจ "ใช่ ฉันคิดว่าเราต้องให้เวลากับตัวเองและหาคำตอบจากข้างในก่อน"

ภีมกลับไปที่เมืองหลวงโดยที่ทั้งสองตกลงว่าจะใช้เวลาห่างกันชั่วคราวเพื่อค้นหาคำตอบของตัวเอง โดยไม่ต้องกดดันกันและกัน ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นว่าทั้งสองคนกำลังเดินทางคนละเส้นทางที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ในระหว่างเวลาที่ห่างกัน เอมเริ่มรู้สึกถึงความสำคัญของตัวเองและความฝันที่เธอเคยทิ้งไว้ข้างหลัง เธอเริ่มเขียนนิยายที่ไม่ใช่แค่เพื่อจะได้ตีพิมพ์ แต่เพื่อจะค้นหาตัวเองและสร้างชีวิตที่เธอสามารถภูมิใจได้

ภีมก็เริ่มพิจารณาถึงสิ่งที่เขาต้องการจากชีวิตในเมืองหลวง และการที่เขาต้องรับมือกับความเครียดจากการทำงานที่มากมาย เขาพบว่าเขาอยากกลับไปทำสิ่งที่เขารักจริงๆ และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจากความเรียบง่าย

หลายเดือนหลังจากนั้น ทั้งสองได้พบกันอีกครั้งในวันหนึ่งที่ร้านหนังสือของเอม เมืองเล็กๆ ที่เคยเป็นสถานที่แห่งความทรงจำและการเริ่มต้นใหม่สำหรับพวกเขา ทั้งสองยืนมองหน้ากัน ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เพราะทั้งสองคนรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า

"เอม..." ภีมเริ่มพูดอย่างระมัดระวัง "ฉันคิดว่าเราทั้งสองคนได้ค้นพบสิ่งที่เราต้องการในชีวิตแล้ว แต่บางทีเราอาจจะไม่ได้ไปในทางเดียวกัน"

เอมยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ "ใช่... ฉันก็คิดแบบนั้น ฉันคิดว่าเราทั้งสองคนต้องเดินไปในเส้นทางของตัวเอง"

แต่ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะตัดสินใจแยกทางกันจริงๆ ก็ไม่ใช่การแยกจากกันในความรัก พวกเขาทั้งสองคนได้เรียนรู้ที่จะรักตัวเองและเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของตนเอง

เอมและภีมพบว่าแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เดินร่วมทางกันตลอดไป แต่ความรักที่มีต่อกันจะอยู่ในความทรงจำและในใจเสมอ พวกเขาเลือกที่จะเดินทางในเส้นทางของตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะแบ่งปันความทรงจำดีๆ ที่เคยมีร่วมกัน

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่การสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ ทั้งสองคนได้เรียนรู้ว่าความรักไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบเดียวเสมอไป และบางครั้งการปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามธรรมชาติจะทำให้ชีวิตมีความหมายมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่เอมและภีมแยกทางกัน ต่างคนต่างเดินหน้าต่อไปในเส้นทางของตัวเอง เอมรู้สึกเหมือนเธอกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เธอได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักมากขึ้น การเขียนนิยายของเธอกำลังได้รับความสนใจจากสำนักพิมพ์ใหญ่ และความฝันที่เธอทิ้งไว้ตอนที่อยู่กับภีม กำลังเป็นจริงขึ้นมา

ในระหว่างนี้ เอมก็ยังคงทำงานที่ร้านหนังสือ ซึ่งเธอยังคงรักและรู้สึกสบายใจที่ได้ใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ ที่มีความสงบ แม้ว่าบางครั้งจะรู้สึกเหงาบ้าง แต่เธอก็เริ่มเข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องมาจากความรักที่มีคนอื่น แต่สามารถมาจากการรักตัวเองและการทำสิ่งที่ใจต้องการ

เอมเริ่มมีความสัมพันธ์ใหม่กับคนๆ หนึ่งที่ไม่คาดคิด เขาคือ "นาวา" ช่างภาพหนุ่มที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของภีมและเคยเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเอมในช่วงเวลาที่เธอเครียดกับความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ นาวากลับมาเยี่ยมเมืองเล็กๆ อีกครั้ง และทั้งสองเริ่มพูดคุยกันบ่อยขึ้นในระหว่างที่นาวาถ่ายภาพรอบเมือง

นาวาเป็นคนที่มีชีวิตที่เต็มไปด้วยการเดินทางและการค้นหาภาพที่งดงามของโลก เขามีวิธีการมองโลกที่แตกต่างจากภีมโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยยึดติดกับสิ่งที่แน่นอน แต่กลับเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เอมรู้สึกถึงความสดชื่นในตัวนาวา

"เอม... ทุกครั้งที่ฉันมาที่นี่ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง" นาวาพูดขณะถ่ายภาพทิวทัศน์ของเมืองเล็กๆ ที่สงบสุข

เอมยิ้มให้กับคำพูดของเขา "ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาที่นี่ มันเหมือนกับว่าเวลาหยุดนิ่งและทุกอย่างในชีวิตก็ชัดเจนขึ้น"

การพูดคุยกับนาวาทำให้เอมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่ต้องการคำตอบหรือการพิสูจน์อะไรมากมาย มันเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและไม่ต้องการการเร่งรัดอะไร

วันหนึ่ง ขณะที่เอมกำลังทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือ ภีมกลับมาเยี่ยมเมืองเล็กๆ อีกครั้ง เขาหยุดที่ร้านหนังสือและมองหาคนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขามากที่สุด

เมื่อเขาเห็นเอมยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ภีมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ เขาเดินเข้ามาและทักทายเธอ

"เอม..." ภีมพูดเสียงเบา "ฉันได้ยินว่าเธอกำลังทำงานที่นี่ ฉันคิดถึงที่นี่มาก"

เอมมองเขาและตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "ฉันก็คิดถึงคุณเช่นกันภีม"

ทั้งสองคนยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เอมจะพูดต่อ "เราทั้งสองคนได้เดินมาถึงจุดที่ต่างกันแล้ว ภีม... ฉันคิดว่าเราได้เรียนรู้จากการเดินทางของแต่ละคน"

ภีมหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้า "ใช่... ฉันรู้ว่าทั้งสองเราต้องไปต่อ แต่ฉันก็ยังไม่สามารถลืมความทรงจำของเราได้"

หลังจากที่ภีมและเอมพูดคุยกันเสร็จ เอมรู้สึกสงบและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เธอรู้ว่าทั้งสองคนได้เรียนรู้จากกันและกันและได้เติบโตขึ้นแล้ว ขณะที่ภีมกลับไปยังเมืองหลวง เอมเริ่มเห็นว่าการปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ในขณะที่เธอยืนอยู่หน้าร้านหนังสือพร้อมกับนาวา รู้สึกถึงความอบอุ่นที่มาจากการที่ได้รู้จักคนใหม่ๆ และได้รับโอกาสในการเติบโตในทางที่แตกต่างออกไป เอมเริ่มเข้าใจว่าเธอไม่จำเป็นต้องหาความรักในรูปแบบเดียวกับที่ผ่านมา เธอสามารถสร้างชีวิตที่มีความสุขและสมดุลได้โดยไม่ต้องยึดติดกับอดีต

"นาวา... ฉันรู้สึกเหมือนฉันได้เจอกับการเริ่มต้นใหม่" เอมพูดขณะยิ้มให้เขา

นาวายิ้มตอบ "บางครั้งความรักก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องแสวงหา มันเกิดขึ้นเมื่อเวลามาถึง"

เอมเริ่มต้นใหม่ในชีวิต โดยมีนาวาเป็นเพื่อนที่ช่วยเสริมความคิดและมุมมองในหลายๆ ด้าน ทั้งการเขียนนิยายและการค้นหาความหมายของชีวิตที่แท้จริง เธอเริ่มเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนิยายของเธอ และเริ่มเขียนงานที่มีความหมายลึกซึ้งมากขึ้น

ถึงแม้จะไม่ได้กลับไปที่ความรักของภีม แต่เอมก็ไม่รู้สึกเสียใจหรือขาดสิ่งใดๆ เพราะเธอได้เรียนรู้ที่สำคัญที่สุดคือการรักตัวเองและให้เวลาแก่ตัวเองในการเติบโต

ชีวิตของเอมเดินหน้าไปอย่างมั่นคง ในช่วงหลายเดือนหลังจากที่เธอเริ่มหันมาทำในสิ่งที่รักมากขึ้น ทั้งการเขียนนิยายและการดูแลร้านหนังสือที่เธอเปิดเอง ความรู้สึกผิดหวังจากความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเริ่มจางหายไปเอมพบว่าตัวเองกำลังเติบโตขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

วันหนึ่ง ขณะที่เอมกำลังนั่งเขียนนิยายที่ร้านหนังสือ นาวาที่มักจะเข้ามาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ก็ได้พาเอมไปพบกับโปรเจกต์ใหญ่ที่เขากำลังทำอยู่ นาวามีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายในหลายๆ เมือง และเขาต้องการให้เอมเขียนบทบรรยายสำหรับการจัดแสดงในครั้งนี้ นี่ถือเป็นโอกาสใหม่ที่ไม่คาดคิดสำหรับเอม—โอกาสที่ทำให้เธอรู้สึกถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง

"เอม... ฉันคิดว่าเธอจะทำได้ดีมากในโปรเจกต์นี้" นาวาพูดขณะยิ้ม "มุมมองของเธอเกี่ยวกับชีวิตและความรักในนิยายของเธอมันน่าสนใจและลึกซึ้ง ฉันคิดว่าบทบรรยายของเธอจะเข้ากับภาพถ่ายของฉันได้ดีมาก"

เอมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนี่คือการร่วมงานกับนาวาในทางที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน แม้ว่าเธอจะรู้สึกว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต แต่เธอก็พร้อมที่จะรับมัน

"ขอบคุณนะนาวา ฉันไม่คิดว่าจะมีโอกาสแบบนี้" เอมตอบอย่างจริงใจ "ฉันคิดว่ามันจะเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้และทำให้ตัวเองเติบโตมากขึ้น"

ขณะที่เอมกำลังสนุกสนานกับการเขียนบทบรรยายและร่วมงานกับนาวา ภีมก็กลับเข้ามาในชีวิตของเธออีกครั้ง โดยครั้งนี้เขามาพร้อมกับความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขความผิดพลาดในอดีตและขอโอกาสจากเอมอีกครั้ง

"เอม... ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงไม่สามารถไปด้วยกันได้ในตอนนั้น" ภีมพูดด้วยเสียงอ่อนโยน "ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเราเติบโตขึ้นและสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ฉันยังรักเธอเสมอ"

เอมยืนมองเขา รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ยังค้างอยู่ในใจจากความสัมพันธ์ครั้งก่อน แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่ยังคงเหลืออยู่

"ภีม... ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปที่เราเดิม" เอมพูดอย่างตั้งใจ "ตอนนี้ฉันต้องการเวลาที่จะทำในสิ่งที่ฉันรักและค้นหาตัวเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น"

ภีมพยักหน้าอย่างเข้าใจ "ฉันจะรอ... ถ้าเธอพร้อม ฉันก็พร้อมที่จะกลับไป"

เอมรู้สึกว่าเวลานี้เธอต้องตัดสินใจให้ดีที่สุดสำหรับตัวเอง การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก แต่ยังเกี่ยวข้องกับเส้นทางชีวิตที่เธอกำลังเดินอยู่

เอมใช้เวลาอีกหลายวันในการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความท้าทายทั้งด้านการงานและความสัมพันธ์ ความรักที่มีต่อภีมและนาวากำลังทำให้เธอสงสัยว่าเธอจะสามารถหาสมดุลระหว่างการรักตัวเองและการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นได้อย่างไร

ในที่สุด เอมก็ได้ข้อสรุปของตัวเอง เธอรู้ว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะกลับไปเริ่มต้นกับภีม แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธความรักที่เขามีให้เธอ ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์กับนาวาก็ทำให้เธอรู้ว่าเธอสามารถสร้างความรักที่มีคุณค่าโดยไม่ต้องเร่งรัดหรือกำหนดรูปแบบให้ชัดเจนเกินไป

"นาวา..." เอมพูดขณะยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำที่เขาชอบพาเธอมาบ่อยๆ "ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ฉันรู้ว่าฉันอยากใช้เวลานี้กับเธอเพื่อเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆ กัน"

นาวาหันมามองเธอด้วยความอบอุ่น "ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน เอม... เราทั้งสองยังมีเรื่องมากมายที่จะเรียนรู้จากกันและกัน"

เอมตัดสินใจที่จะไม่เร่งรีบในเรื่องความรัก เธอเลือกที่จะเปิดใจและเดินทางไปตามทางที่หัวใจของเธอกำหนด ไม่ว่าเธอจะเดินทางคนเดียวหรือไปกับใครก็ตาม เอมรู้ว่าเธอสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองและค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต

ในขณะที่ชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เอมก็เริ่มเห็นว่าความรักไม่ได้หมายถึงการมีใครสักคนมาเติมเต็ม แต่คือการเรียนรู้ที่จะรักตัวเองและยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เข้ามา

หลังจากที่เอมตัดสินใจเปิดใจและเดินตามเส้นทางใหม่ในชีวิต ความรู้สึกของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ชีวิตที่เธอเคยคิดว่าเป็นการเดินทางที่ขาดหายไปกลับเริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น เธอพบความสมดุลระหว่างการเขียนนิยาย การทำงานที่ร้านหนังสือ และการเรียนรู้จากความรักที่เธอมีให้กับตัวเอง

ในระหว่างนี้ เอมได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์ใหญ่ที่สนใจในงานเขียนของเธอ พวกเขาต้องการให้เธอเขียนนิยายเต็มตัวที่อาจจะเป็นหนังสือขายดี เธอรู้สึกตื่นเต้นมากและตัดสินใจรับโอกาสนี้ โดยไม่ลังเลอีกต่อไป

"เอม ฉันรู้ว่าเธอทำได้ดีมาก" นาวาที่คอยสนับสนุนเธอเสมอ พูดขณะยิ้ม "เธอมีความสามารถและควรไปให้ถึงฝัน"

การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้เอมรู้สึกว่าเธอกำลังทำในสิ่งที่เธอรักมากที่สุด และไม่ต้องเสียสละสิ่งใดเพื่อมัน

ในขณะที่ชีวิตของเอมกำลังไปในทิศทางที่ดี ความสัมพันธ์ของเธอกับนาวาก็เริ่มเติบโตอย่างเงียบๆ มันไม่ใช่ความรักที่เร่งรีบ แต่เป็นความรักที่เติบโตจากความเข้าใจและความเคารพซึ่งกันและกัน ทุกๆ ครั้งที่เอมได้เดินทางไปถ่ายภาพร่วมกับนาวา หรือพูดคุยเกี่ยวกับความฝันและประสบการณ์ของแต่ละคน มันทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้

"นาวา... ฉันคิดว่าฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าความรักที่แท้จริงมันคืออะไร" เอมพูดขณะยืนอยู่บนสะพานไม้ข้ามลำน้ำเล็กๆ ที่ทั้งสองมักมาเยือนกันเสมอ "มันคือการเรียนรู้ที่จะรักตัวเองและไม่กลัวที่จะเติบโตไปพร้อมกับคนที่เข้าใจเรา"

นาวาหันมายิ้มให้เธอ "เธอได้เรียนรู้มากมาย เอม... ฉันรู้ว่าเธอจะทำทุกอย่างได้ดี"

ทั้งสองยืนมองวิวทิวทัศน์ในยามเย็นที่แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านต้นไม้ที่อยู่ริมทาง เอมรู้สึกถึงความสงบและความมั่นคงในตัวเองที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ในขณะที่เอมกำลังเตรียมงานเขียนนิยายเต็มตัว เธอก็ได้รับข้อเสนอจากอีกสำนักพิมพ์หนึ่งที่ต้องการให้เธอเข้าร่วมงานใหญ่ในวงการวรรณกรรม นี่เป็นโอกาสที่เอมไม่สามารถมองข้ามได้ แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะมันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ

"เอม... นี่คือตัวเลือกที่สำคัญสำหรับเธอ" นาวาบอก ขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ ที่เงียบสงบ "แต่ถ้าเธอเลือกเดินตามเส้นทางนี้ มันอาจจะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่คาดคิด"

เอมเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ฉันรู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่ฉันพร้อมที่จะทำมัน ฉันคิดว่าเป็นเวลาที่ดีที่จะก้าวไปข้างหน้า"

การเลือกนี้ไม่ใช่การทิ้งสิ่งที่เคยมี แต่เป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้ตัวเองได้เติบโตและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เอมเริ่มเห็นความชัดเจนในสิ่งที่เธอต้องการจากชีวิต ทั้งการทำงานและความรัก

ในที่สุด เอมก็เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ด้วยการเขียนนิยายเต็มตัวและรับโอกาสในการเข้าร่วมงานใหญ่ในวงการวรรณกรรม พร้อมกับความรักที่เธอมีให้กับนาวาและตัวเอง เธอรู้ว่าเธอกำลังเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง เพราะทุกสิ่งในชีวิตของเธอกำลังพาเธอไปในทิศทางที่เธอต้องการ

การที่เอมมีความสามารถในการสร้างความรักและความสุขให้ตัวเองในทุกๆ วัน ทำให้เธอเชื่อว่าไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เธอก็สามารถเดินไปข้างหน้าได้ ด้วยหัวใจที่มั่นคงและความฝันที่เต็มเปี่ยม

เอมตัดสินใจเข้าร่วมงานในวงการวรรณกรรม และหลังจากที่เธอเริ่มทำงานในโปรเจกต์ที่เธอใฝ่ฝันมานาน ชีวิตของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นิยายของเธอได้รับการยอมรับจากผู้อ่านหลายคน และเธอเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนักเขียนที่มีความสามารถ

ทุกเช้า เอมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวังใหม่ และทุกเย็นเธอนั่งทำงานที่ร้านหนังสือของตัวเอง ควบคู่ไปกับการเขียนนิยายที่กำลังจะกลายเป็นผลงานใหญ่ ซึ่งเธอก็ได้ส่งให้สำนักพิมพ์ที่รับงานของเธอ พวกเขาประทับใจในผลงานของเอมและเสนอให้เธอทำงานร่วมกับนักเขียนชื่อดังในโปรเจกต์ใหม่

"เอม... คุณทำได้ดีมากจริงๆ" นักเขียนชื่อดังที่เธอได้ร่วมงานด้วยพูดขณะยิ้ม "คุณมีเอกลักษณ์และมุมมองที่น่าสนใจ"

เอมยิ้มตอบด้วยความสุข "ขอบคุณค่ะ... ฉันแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด"

ในขณะที่ชีวิตของเอมกำลังรุ่งเรือง เธอและนาวาก็ยังคงเดินทางร่วมกัน แม้ว่าจะไม่มีการกำหนดความสัมพันธ์ที่เร่งรีบ แต่ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าในใจของพวกเขามีที่ว่างสำหรับกันและกัน

บางครั้งทั้งสองก็จะไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือไปถ่ายภาพในสถานที่ที่เงียบสงบ พวกเขามักจะพูดคุยเกี่ยวกับความฝันและความหวังในอนาคต แม้ว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขาจะไม่เหมือนเดิม แต่พวกเขาก็ยังคงสนับสนุนกันและอยู่เคียงข้างกันเสมอ

"เอม... ฉันอยากให้เธอรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็จะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ" นาวาพูดด้วยความจริงใจ ขณะยืนมองท้องฟ้ายามเย็น "ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในโลกของการเขียน หรือการเดินทางในโลกของความรัก"

เอมยิ้มบางๆ "ขอบคุณนะนาวา ฉันก็รู้สึกแบบเดียวกัน ฉันคิดว่าเราไม่ได้แค่เดินทางไปด้วยกันในวันนี้ แต่ในทุกๆ วันในอนาคตด้วย"

ในที่สุดเอมก็ได้พบความสมดุลที่แท้จริงในชีวิต ความสำเร็จในการทำงานและความรักที่มีความหมายกับนาวา ทำให้เธอรู้ว่าเธอสามารถทำให้ชีวิตของตัวเองเป็นไปตามที่ต้องการได้ เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ เธอก็รู้ว่าเธอไม่ต้องวิ่งตามความสำเร็จอีกต่อไป แต่สามารถเดินไปตามเส้นทางที่เธอเลือกได้อย่างมั่นใจ

"เอม... เธอคิดว่าความสำเร็จคืออะไร?" นาวาถามขณะทั้งสองนั่งอยู่บนระเบียงร้านหนังสือที่เอมเปิด

เอมตอบด้วยเสียงที่มั่นคง "ความสำเร็จคือการได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราเลือกเอง และการได้รักตัวเองมากพอที่จะก้าวไปข้างหน้า"

นาวามองเอมด้วยความภาคภูมิใจ "เธอเป็นคนที่น่าทึ่งเอม... ฉันภูมิใจที่ได้อยู่ข้างๆ เธอ"

เอมไม่เคยคาดคิดว่าการเดินทางในชีวิตของเธอจะพาเธอมาถึงจุดนี้ ที่ที่เธอได้ค้นพบตัวเองและความฝันที่แท้จริง ความสำเร็จในงานเขียนและการรักษาความรักที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ทำให้เธอรู้ว่าทุกการตัดสินใจที่ผ่านมา แม้จะยากลำบาก แต่ก็ทำให้เธอได้เติบโตขึ้น

ตอนนี้เอมไม่ต้องการแค่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เธอทำ แต่เธออยากให้ชีวิตของเธอเป็นแบบอย่างให้คนอื่นเห็นว่า การเติบโตไม่ได้เป็นเพียงการทำตามค่านิยมของสังคม แต่เป็นการหาความหมายและความสุขในชีวิตของตัวเอง

"ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตมันมีความหมาย" เอมพูด ขณะยิ้มอย่างมั่นใจ "และตอนนี้ ฉันก็พร้อมที่จะเดินต่อไป"

เอมมองไปยังอนาคตที่เปิดกว้าง เธอไม่รู้ว่ามันจะพาเธอไปที่ไหน แต่สิ่งที่เธอรู้คือ ทุกก้

าวที่เธอก้าวไปนั้นเต็มไปด้วยความมั่นคงและความรักที่เธอได้สร้างขึ้นให้กับตัวเองและคนรอบข้าง

เอมเดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลง และทุกเส้นทางใหม่ที่ชีวิตจะพาเธอไป


                                    ----End----

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หวยไทยรัฐ เดลินิวส์ บางกอกทูเดย์ 17/1/6810 เลขขายดีแม่จำเนียร งวด 17/1/68 หวยแม่จำเนียร 17/1/68ดราม่าถล่มไอจีขนาดนี้ คุณแม่แอฟว่ายังไงเลข AI งวด 17/1/68Challenger Deep จุดที่ลึกที่สุดในโลก รู้ไหมว่าลึกเท่าไร?ตะวันฉาย vs ซุปเปอร์บอน ONE ลุมพินี 170 ทุบสถิติ ตั๋ว SOLD OUT หมดเกลี้ยง แฟนมวยซื้อแทบไม่ทันเลขเด็ดจากไอ้ไข่วัดเจดี สำหรับงวดวันที่ 17 มกราคม 2568'งามบุปผาสกุณา' หลี่เซี่ยน ตีบทแตก ทำให้คนดูอินมะเขือเทศ มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง แต่ถ้าบริโภคผิดวิธีก็มีโทษถึงขั้นเสียชีวิตได้รวมภาพสวยๆ ของ ลิซ่า ที่ลงไปทำหน้าที่มอบเหรียญเลือกฝั่ง ในเกมส์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีค ของอังกฤษ เมื่อช่วงหัวรุ่งของวันนี้ที่บ้านเราจ้า
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ดราม่าถล่มไอจีขนาดนี้ คุณแม่แอฟว่ายังไงตะวันฉาย vs ซุปเปอร์บอน ONE ลุมพินี 170 ทุบสถิติ ตั๋ว SOLD OUT หมดเกลี้ยง แฟนมวยซื้อแทบไม่ทันจีนลังเลมาไทย ตรุษจีนนี้ไหวไหม
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
'งามบุปผาสกุณา' หลี่เซี่ยน ตีบทแตก ทำให้คนดูอิน"หอพักหมายเลข 13"เรือที่ไม่มีวันจม: ตำนาน ความจริง และนวัตกรรมแห่งโลกการเดินเรือ'งามบุปผาสกุณา' หยางจื่อ รับบท สาวขายโบตั๋น สู้ชีวิต
ตั้งกระทู้ใหม่