"ความเชื่อและตำนานที่สะท้อนจิตวิญญาณของวันลอยกระทง"
ตำนานและความเชื่อวันลอยกระทง
วันลอยกระทงเป็นประเพณีที่มีรากฐานจากความเชื่อและความศรัทธาในหลากหลายท้องถิ่น และมีตำนานที่ถูกเล่าขานมาแต่โบราณเกี่ยวกับที่มาของพิธีนี้
เรื่องแรก ว่ากันว่าการลอยกระทง มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธนั่นเอง
หนึ่งในตำนานที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเล่าว่า ก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา วันหนึ่ง นางสุชาดา อุบาสิกาผู้ศรัทธา ได้ให้สาวใช้นำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองไปถวาย เมื่อพระองค์เสวยเสร็จแล้ว ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่าหากสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดทองนี้ลอยทวนน้ำ และด้วยแรงบุญและอภินิหาร ถาดทองนั้นก็ลอยทวนน้ำไปจนถึงสะดือทะเลและจมลงไปใต้บาดาล ซึ่งเป็นที่พำนักของพระยานาคผู้พิทักษ์
พระยานาคตื่นจากบรรทมและเมื่อเห็นถาดทอง ก็ประกาศให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว เหล่าเทพยดาและพระยานาคจึงได้พากันไปถวายการสักการะ และพระพุทธเจ้าก็ทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ฝั่งแม่น้ำเพื่อให้เป็นที่บูชาของสรรพสัตว์ นับแต่นั้นมานางสุชาดาจึงนำเครื่องหอมและดอกไม้มาลอยน้ำเพื่อบูชารอยพระพุทธบาททุกปี และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีลอยกระทง
ในอีกตำนานหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้รับการทูลเชิญจากพระยานาคให้ไปเทศนาในเมืองนาคพิภพ เมื่อเสร็จสิ้นการเทศนา พระพุทธองค์ทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทาตามคำขอของพระยานาค เพื่อเป็นที่ระลึกและที่บูชาแก่พวกเขา ชาวพุทธจึงได้ทำการบูชารอยพระบาทโดยลอยกระทงเพื่อสักการะเรื่อยมาตามประเพณี
การลอยกระทงยังเชื่อมโยงกับวันเพ็ญเดือน 11 หรือวันออกพรรษา โดยเป็นการเฉลิมฉลองวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์หลังจากจำพรรษา 3 เดือนในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา เหล่าทวยเทพและพุทธศาสนิกชนจึงมารับเสด็จด้วยเครื่องสักการะและการเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นที่มาของการลอยกระทงในปัจจุบัน
อีกทั้งยังมีคติความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าเคยเสด็จออกบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมาและตัดพระเกศโมลีอธิษฐานให้ลอยขึ้นฟ้า พระอินทร์ได้มารับพระเกศนั้นไปประดิษฐานในผอบแก้วบนจุฬามณีเจดีย์ ทำให้ในบางพื้นที่มีการปล่อยโคมลอยหรือโคมไฟขึ้นฟ้าเพื่อแสดงการบูชาและระลึกถึงพระพุทธเจ้า
การลอยกระทงในแต่ละภูมิภาคจึงมีตำนานและความหมายที่หลากหลาย แต่ทุกเรื่องล้วนมีรากฐานที่แสดงถึงการสักการะและขอบคุณในความศรัทธาและความเชื่อของพุทธศาสนิกชน
เรื่องที่สอง ตามตำราพรหมณ์คณาจารย์กล่าวว่า
พิธีลอยกระทงมีรากฐานมาจากหลากหลายคติความเชื่อ ทั้งในศาสนาพุทธและพราหมณ์ หนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจคือประวัติของพิธีลอยประทีปหรือตามประทีป ซึ่งมีต้นกำเนิดจากศาสนาพราหมณ์ พิธีนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าสำคัญทั้งสาม ได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม พิธีตามประทีปเป็นการจุดไฟบูชา ซึ่งจะกระทำก่อนการลอยกระทง โดยตามคัมภีร์โบราณของอินเดีย พิธีนี้เรียกว่า “ทีปาวลี”
ทีปาวลีเป็นพิธีที่จัดขึ้นตามหลักโหราศาสตร์อินเดีย โดยจะเริ่มทำเมื่อพระอาทิตย์เข้าสู่ราศีพิจิก และพระจันทร์อยู่ในราศีพฤกษ์ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ชาวพราหมณ์จะจุดประทีปบูชาและปฏิบัติตามพิธีจนถึงวันที่ครบกำหนด เมื่อพิธีสิ้นสุดลง โคมไฟที่ใช้บูชาจะถูกนำไปลอยในแม่น้ำ เป็นการส่งมอบความเคารพและแสดงความศรัทธาต่อเทพเจ้า
เมื่อชาวพุทธได้เห็นพิธีนี้ ก็ได้รับแรงบันดาลใจและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา โดยใช้พิธีตามประทีปนี้เป็นการบูชารอยพระพุทธบาท และแสดงการรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่เสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มคุณค่าทางจิตใจและแสดงความศรัทธาอย่างลึกซึ้ง
ในบางพื้นที่ เช่นภาคเหนือของไทย จะมีการเฉลิมฉลองเดือนยี่เป็ง ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวล้านนาใช้เรียกเดือนสองของพวกเขา ตามปฏิทินจันทรคติที่เร็วกว่าภาคกลาง 2 เดือน ชาวล้านนาจึงนำพิธีตามประทีปนี้มาผสมผสานกับการปล่อยโคมลอยในคืนวันเพ็ญเดือนยี่เป็ง เพื่อเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีและการเฉลิมฉลองในวัฒนธรรมท้องถิ่น
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของพม่า
อีกตำนานหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการลอยกระทงมีต้นกำเนิดจากพม่า ซึ่งเล่าว่าในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์มีความตั้งใจจะสร้างเจดีย์ให้ครบ 84,000 องค์ แต่กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคจากพระยามารที่คอยขัดขวางอยู่เสมอ เพื่อขจัดปัญหา พระเจ้าอโศกจึงไปขอความช่วยเหลือจากพระอุปคุต พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ พระอุปคุตได้รับคำขอร้องและไปขอให้พระยานาคผู้ปกครองเมืองบาดาลช่วยเหลือในการจัดการกับพระยามาร
พระยานาคตอบรับคำขอและสามารถปราบพระยามารได้สำเร็จ ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชสามารถสร้างเจดีย์ได้ตามพระประสงค์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 12 ผู้คนจึงจัดพิธีลอยกระทงเพื่อบูชาพระคุณของพระยานาคในฐานะผู้ช่วยเหลือในการปกปักษ์รักษาพระพุทธศาสนา
บางตำนานยังกล่าวเพิ่มเติมว่า พระยานาคในเรื่องนี้แท้จริงแล้วก็คือพระอุปคุตเอง ซึ่งประทับอยู่ที่สะดือทะเลและมีอิทธิฤทธิ์มากจนสามารถปราบมารได้ ด้วยเหตุนี้ พระอุปคุตจึงกลายเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งในหมู่ชาวพม่าและชาวพายัพของไทย ผู้คนต่างเชื่อว่าท่านมีอำนาจปกป้องและประทานความเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลลอยกระทงที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพและบูชา
เรื่องที่สี่ เกิดจากความเชื่อแต่ครั้งโบราณในล้านนาว่า
หนึ่งในตำนานที่เกี่ยวข้องกับการลอยกระทงในภูมิภาคล้านนาเกิดขึ้นจากความเชื่อในสมัยโบราณ เมื่ออาณาจักรหริภุญชัยประสบกับการระบาดของโรคอหิวาต์ ทำให้ประชาชนล้มตายไปจำนวนมาก ส่วนที่รอดชีวิตได้อพยพไปอยู่ที่เมืองสะเทิมและหงสาวดีเป็นเวลาถึง 6 ปี ในช่วงเวลานั้นบางคนได้ตั้งครอบครัวใหม่ที่เมืองเหล่านั้น จนกระทั่งโรคอหิวาต์สงบลงและบางคนจึงอพยพกลับมายังบ้านเกิดของตน
เมื่อถึงวันครบรอบการอพยพไปครั้งแรก พวกเขาจึงได้จัดพิธีบูชาโดยการนำธูปเทียนและเครื่องอุปโภคบริโภคใส่ลงใน "สะเพา" หรือ "สะเปา" ซึ่งหมายถึง กระทงหรือเรือเล็กๆ แล้วล่องไปตามลำน้ำ เพื่อระลึกถึงญาติและคนที่จากไป รวมทั้งบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ที่เมืองหงสาวดี การลอยกระทงในช่วงเวลานี้เกิดขึ้นในวัน "ยี่เพ็ง" ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสอง หรือวันสุดท้ายของการระลึกถึงการอพยพ เรียกกันว่า "การลอยโขมด" ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากการลอยกระทงในที่อื่นๆ ของล้านนา
การลอยกระทงแบบ "โขมด" นั้น มีความหมายในตัวเอง เนื่องจากคำว่า "โขมด" หมายถึง ผีป่าที่ชอบออกหากินในเวลากลางคืน และมักมีไฟพะเนียง (แสงไฟระยิบระยับ) คล้ายกับผีกระสือ ดังนั้น กระทงที่จุดเทียนและลอยในน้ำจึงดูเหมือนกับเงาไฟที่สะท้อนในน้ำ คล้ายกับผีโขมดในความเชื่อท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นการบูชาและระลึกถึงบรรพบุรุษและผู้ล่วงลับในวิธีการเฉพาะของชาวล้านนา
ในวันยี่เพ็งนี้ ชาวล้านนาไม่ได้มีแค่การลอยกระทงเท่านั้น แต่ยังมีการทำพิธีอื่นๆ เช่น การตั้งธัมม์หลวงหรือการเทศน์คัมภีร์ยาวๆ เช่น เทศน์มหาชาติ เพื่อแสดงความเคารพและให้พรแก่ดวงวิญญาณและผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงการจุดประทีปโคมไฟจำนวนมากเป็นการเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลอย่างกว้างขวาง
เรื่องที่ห้า กล่าวกันว่าในประเทศจีนสมัยก่อน
เรื่องที่ห้า เกี่ยวข้องกับประเพณีลอยกระทงในประเทศจีนสมัยก่อน โดยเฉพาะในแถบภาคเหนือ ที่มักประสบกับน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน ซึ่งบางปีน้ำท่วมหนักจนทำให้ผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และบางครั้งไม่สามารถหาศพได้เลย เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เสียชีวิตและแสดงความเคารพต่อวิญญาณที่ล่วงลับ ชาวบ้านจึงได้จัดกระทงใส่อาหารและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ลอยลงไปในน้ำในงานประจำปี
การลอยกระทงในช่วงกลางคืน อาจเป็นเพราะชาวบ้านต้องการสร้างบรรยากาศที่ขรึมขลังและมืดมิด เนื่องจากการเกี่ยวข้องกับผีหรือวิญญาณ ซึ่งในความเชื่อดั้งเดิม ผีจะไม่ปรากฏในตอนกลางวัน จึงเลือกที่จะลอยกระทงในเวลากลางคืน และการจุดเทียนก็มีความหมายว่าเป็นการให้แสงสว่างในการเดินทางของวิญญาณไปสู่ที่พักสุดท้าย โดยการจุดประทีปหรือโคมไฟจะช่วยให้วิญญาณเหล่านั้นเดินทางไปสะดวกขึ้น
ในภาษาจีน การลอยกระทงในลักษณะนี้เรียกว่า "ปล่อยโคมน้ำ" หรือ "ปั่งจุ๊ยเต็ง" ซึ่งมีความหมายคล้ายกับการลอยโคมในประเพณีไทย ที่ใช้ในการบูชาและระลึกถึงบุคคลหรือสิ่งที่เคารพ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า หรือแม่น้ำ รวมถึงบรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว
การลอยกระทงในหลายประเทศ โดยเฉพาะในไทยและจีน จึงมีลักษณะเป็นการแสดงความกตัญญูต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้มีพระคุณ โดยผ่านพิธีการเช่นการเซ่นไหว้และการบูชา ด้วยเครื่องสักการะต่างๆ ที่มักมีความหมายลึกซึ้งในทางจิตใจและศาสนา โดยเฉพาะในไทย การลอยกระทงถือเป็นการบูชาและตอบแทนพระพุทธเจ้า รวมถึงการเคารพบูชารอยพระพุทธบาท ที่สะท้อนถึงการเดินตามทางที่ดีและงามในชีวิต
อ้างอิงจาก: ภาพ : Ananda, iStock, GQ Thailand
ข้อมูล :อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม