มิตรภาพต่างขั้ว กวนอู-เตียวเลี้ยว
"เกิดมาเป็นชาติทหารแล้วสิคิดรักชีวิตเล่า ถึงตายก็ให้ลือชื่อไว้" เตียวเลี้ยวกล่าวเตือนสติลิโป้ที่ร้องด่าเล่าปี่ด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่ลิโป้จะถูกทหารโจโฉนำตัวไปประหาร
จากนั้นเตียวเลี้ยวก็ถูกคุมตัวไปหาโจโฉ พอโจโฉเห็นหน้าเตียวเลี้ยวก็กล่าวว่า ดูเหมือนว่าเราเคยรบกันมาครั้งหนึ่ง เตียวเลี้ยวจึงตอบว่าครั้งเมืองปักเอี้ยงนั้นท่านลืมแล้วหรือ เรายังนึกเสียดาย โจโฉถามว่าเสียดายสิ่งใด
เตียวเลี้ยวจึงกล่าวตอบโจโฉไปว่า "เราเสียดายครั้งเมืองปักเอี้ยงนั้นเพลิงยังน้อยนักอยู่ ถ้าเพลิงมากก็จะเผาอ้ายศัตรูราชสมบัติตายเสียแล้ว"
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธเงื้อกระบี่ขึ้นจะฟันเตียวเลี้ยว แต่เตียวเลี้ยวก็มิได้กลัวอันตราย กลับยื่นคอให้โจโฉฟัน กวนอูจึงยุดมือโจโฉไว้แล้วบอกว่า "ซึ่งท่านจะฆ่าเตียวเลี้ยวนั้นขอให้งดก่อน ด้วยเตียวเลี้ยวเป็นคนสัตย์ซื่อ ควรจะเลี้ยงไว้ให้ทำราชการด้วยท่าน ถ้าสืบไปเตียวเลี้ยวเอาใจออกหากคิดร้ายต่อท่าน จึงเอาศีรษะข้าพเจ้าแทนเถิด"
โจโฉได้ฟังดังนั้นแล้วก็มีความยินดีบอกว่า "เราแจ้งอยู่ว่าน้ำใจเตียวเลี้ยวนี้สัตย์ซื่อนัก ซึ่งเราทำทั้งนี้หวังจะลองใจเตียวเลี้ยวว่าเป็นทหารจะกลัวความตายหรือไม่ บัดนี้เราเห็นน้ำใจแน่นอนมั่นคงควรจะเลี้ยงไว้"
โจโฉจึงลุกขึ้นไปแก้มัดเตียวเลี้ยวและมอบเสื้ออย่างดีให้แล้วจูงมือให้มานั่ง เตียวเลี้ยวจึงคำนับโจโฉแล้วกล่าวว่า "ซึ่งมหาอุปราชไว้ชีวิตจะเลี้ยงข้าพเจ้านั้นหาคุณที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะขอทำราชการด้วยท่านกว่าจะตาย"
นับแต่นั้นมาเตียวเลื้ยวก็เป็นกำลังสำคัญให้กับโจโฉ สร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่นำทหารเพียงแปดพันนายไล่ตีทหารนับแสนของซุนกวนจนพ่ายกลับไปในศึกหับป๋าและกลายเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของโจโฉ ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดขุนพลที่เก่งกล้าที่สุดของวุยก๊ก
กวนอูนั้นชื่นชมเตียวเลี้ยวตั้งแต่ครั้งที่ลิโป้ให้เตียวเลี้ยวมาตีเมืองเสียวพ่าย โดยเตียวเลี้ยวได้ยกทหารเข้าตีเมืองด้านที่กวนอูรักษาอยู่ กวนอูเห็นเตียวเลี้ยวมีรูปงามสมเป็นขุนนาง จึงร้องถามเป็นกลอุบายว่า "ตัวท่านมีสีสรรบริบูรณ์ เราเห็นว่าจะมีสติปัญญาและความละอาย เป็นไฉนมาอยู่ในเงื้อมมือลิโป้ซึ่งเป็นคนหยาบช้านั้นเราเห็นไม่สมควร" เตียวเลี้ยวฟังดังนั้นแล้วก็มิได้ตอบโต้ ได้แต่คุมทหารถอยออกไป
แม้เตียวเลี้ยวและกวนอูจะอยู่กันคนละฝ่าย แต่ด้วยทั้งคู่มีอัธยาศัยและความสัตย์ซื่อเหมือนกัน จึงทำให้คนทั้งสองมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ โดยไม่คิดว่ายืนอยู่กันคนละฝั่ง จึงกลายเป็น "มิตรภาพต่างขั้ว" ซึ่งถือเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นหลังพึงระลึกไว้ว่า คนเรานั้นแม้จะอยู่คนละสีคนละขั้วก็สามารถเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้
อ้างอิงจาก: stampchan