รีวิว TRANSFORMERS RISE OF THE BEASTS กำเนิดจักรกลอสูร
หลังห่างหายไปนานหลายปี ในที่สุด TRANSFORMERS ก็ออกภาคต่อมาให้พวกเราหายคิดถึง ครั้งนี้เป็นการกลับมาในรูปแบบใหม่ ชูจุดเด่นในแบบที่ภาคก่อนไม่เคยมี แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่จำเป็นเอาไว้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง นี่ถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ BLOCKBUSTERS ที่น่าจับตามอง
ผลงานการกำกับโดย Steven Caple Jr. ที่เคยฝากผลงานการกำกับเรื่อง Creed 2 มาแล้วเมื่อปี 2018 ครั้งนี้จะเป็นการฉีกแนวเดิมที่เขาเคยทำ แถมได้มือเขียนบทถึง 3 คน คือ Joby Harold, Darnell Metayer และ Josh Peters
เรื่องย่อ
ยูนิครอนส่งกองกำลังมาแย่งชิงกุญแจทรานวาร์ปที่ซ่อนอยู่ในดาวโลก เพื่อจะได้เข้ากลืนกินดวงดาวต่างๆในจักรวาลได้ตามใจชอบ ออโต้บอทส์เองก็ต้องการกุญแจที่ว่านี้เพื่อพาตัวเองและผองพวกกลับดาวบ้านเกิดที่ชื่อว่าไซเบอร์ตรอน
การปะทะกันจึงเกิดขึ้น แต่โชคดีที่ออโต้บอทส์ได้เหล่าแม็กซิมอล กองกำลังหุ่นเหล็กรูปร่างเหมือนสัตว์เข้ามาเป็นพวกสนับสนุนอีกแรง
ขณะเดียวกัน โนอา ดิแอซ ชายหนุ่มตกงานที่ไม่ได้ตั้งใจจะข้องเกี่ยวกับเรื่องสงครามหุ่นเหล็กก็เข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขารู้เข้าว่ามันจะมีผลต่อชีวิตทุกคนบนดาวโลกและครอบครัวของเขาด้วย โนอาก็เต็มใจช่วย
เช่นเดียวกับเอลิน่า วอลเลซ ก็มาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน...
นักแสดงนำ
- Anthony Ramos รับบทเป็น Noah Diaz
- Dominique Fishback รับบทเป็น Elena Wallace
- Peter Cullen พากย์เสียงเป็น Optimus Prime
- Pete Davidson พากย์เสียงเป็น Mirage
- Ron Perlman พากย์เสียงเป็น Optimus Primal
- Michelle Yeoh พากย์เสียงเป็น Airazor
- Peter Dinklage พากย์เสียงเป็น Scourge
ความชื่นชอบและประทับใจจากครีเอเตอร์
1.หนังดำเนินเรื่องได้ดี แต่ฉากแอ็กชันขาดสไตล์แบบ BAYHEM ที่ผู้กำกับคนเก่า ไมเคิล เบย์ เคยทำมาในภาคก่อนๆ ผู้กำกับคนปัจจุบันอาจจะไม่ถนัดกับการทำหนังแอ็กชันจึงขาดเสน่ห์แบบที่เราคุ้นเคย แต่การวางเฟรมของภาคนี้ดีกว่า โดยเฉพาะฉาก Climax สำคัญของเรื่อง ดูไม่สับสน
2.หนังวางโครงเรื่องแบบ Cinematic คือการเล่าเรื่องให้เป็นภาพยนตร์ได้ดี ไม่ติดภาพจำของการ์ตูนมากเกินไป การวางบทก็ทำได้ดี ดูมีที่มาที่ไป บทสนทนาดูสมจริง ไม่เหมือนของไมเคิล เบย์ที่บทสนทนาเป็นไปด้วยความเลอะเทอะจนเกินไป จนทำให้ภาพรวมดูแย่อย่างน่าเสียดาย
3.ในภาคนี้จะโฟกัสที่ตัวละครที่เป็นมนุษย์มากขึ้น มันมีปูมหลัง แม้จะไม่อินกับความเป็นดราม่าอยู่บ้างแต่ก็พอเข้าใจได้ว่ายังต้องการเก็บไม้เด็ดไว้ในภาคต่อไป
4.หนังผสมผสานอารมณ์ของหนังผจญภัย หนังขับรถหลบหนี และหนังแอ็กชันแบบมี Jump Scare สยองขวัญให้สะดุ้งตกใจเล่นอยู่ 2 ฉาก เป็นการรวมมิตรหลากหลายแนวไว้ในเรื่องเดียวกัน
5.Mirage หุ่นเหล็กหน้าใหม่มาแย่งซีน Bumblebee ที่พากย์ให้เสียงโดย Pete Davidson ให้อารมณ์ขี้เล่นไม่น้อย แถมฮาใช่ย่อย ซึ่งไม่ได้เห็นในหนัง TRANSFORMERS มานานแล้ว
6.เพลงประกอบภาพยนตร์จะเป็นเพลงฮิปฮอปยุค 90 ที่หลายคนคิดถึง ใครที่ชอบก็จะหลงรักโมเมนต์ในหนังแบบนี้ไม่น้อย สอดคล้องกับเค้าโครงเรื่องที่เป็นเหตุการณ์ในปี ค.ศ.1994 ส่วนเทคนิค CGI จะเป็นคนละบริษัทกับภาคก่อน ความสมจริงของฉากจึงดูต่างจากภาคก่อนอยู่บ้าง
7.ตอนจบของหนังสร้างเซอร์ไพรส์สุดเด็ดเอาใจแฟนหนังในเครือ Hasbro เราอาจต้องลุ้นว่า TRANSFORMERS จะไปรวมจักรวาลหนังเรื่องอื่นจริงหรือไม่ โดยรวมหนังพอจะไปต่อได้ แต่ไปได้ไม่สุด เหมือนยังกั๊กอะไรบางอย่างไว้
ทั้งหมดนี้ครีเอเตอร์เชียร์อยากจะเห็นภาคต่อที่จะเพิ่มสีสันหรือความสดใหม่ที่การดำเนินเรื่องต่อไปจะไม่ผูกติดอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งอีกแล้ว ท้องเรื่องยังสามารถผูกโยงสิ่งที่น่าสนใจได้มากมาย ขอแค่อยากออกทะเลไปผูกโยงกับสิ่งที่ไม่ใช่แกนหลักของหนังก็พอแล้ว