5 ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับถุงยาง
1.ใส่ถุงยาง 2 ชั้น หรือหลายชั้น สามารถป้องกันได้ดีกว่าชั้นเดียว การสวมถุงยางอนามัย 2 ชั้น อาจทำให้เพิ่มแรงเสียดทานระหว่างถุงยางอนามัย มีแนวโน้มที่ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ ทำให้ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยลดลง
2.ขนาดของถุงยางไม่ใช่ประเด็น ไซส์ใหญ่กว่าขนาดยิ่งดี เนื่องจาก อวัยวะเพศชายมีขนาดแตกต่างกัน จึงควรใช้ถุงยางให้ถูกขนาดขององชาตแต่ละคน เพราะการใช้ถุงยางที่มีขนาดพอดีกับอวัยวะเพศชาย จะช่วยทำให้ถุงยางมีประสิทธิภาพสูงสุดในการคุมกำเนิด แต่หากใช้ถุงยางผิดขนาดอาจทำให้เกิดปัญหา อย่างเช่น การใช้ถุงยางที่มีขนาดเล็กเกินไป หรือคับเกินไป อาจทำให้ถุงยางขาด ในกรณีที่สวมถุงยางขนาดใหญ่เกินไป หรือหลวมเกินไปมักเสี่ยงทำให้ถุงยางอนามัยหลุดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ จึงควรเลือกขนาดถุงยางให้พอดีกับขนาดขององคชาตตนเอง
3.ถุงยางอาจมีรูรั่ว หรือผลิตมาไม่ดี การผลิตถุงยางอนามัยได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้น ถุงยางอนามัยจึงต้องได้มาตรฐานอุตสาหกรรมซึ่งรับรองจากองค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ถุงยางอนามัยยังต้องได้รับการทดสอบรูรั่ว และข้อบกพร่องอื่น ๆ ในขั้นตอนการผลิต ปัญหาถุงยางมีรูรั่ว หรือผลิตมาไม่ดีนั้นพบได้ยาก เพราะโดยปกติแล้วปัญหาถุงยางรั่วซึมมักเกิดจากถุงยางหมดอายุ หรือเก็บไว้ในที่ร้อนจัด
4.ถุงยางอนามัยใช้ยาก และทำให้ไม่สะดวก ใส่แล้ว ไม่เร้าใจ มีความเชื่อว่าถุงยางอนามัยใช้ยาก และอาจส่งผลต่อให้การมีเพศสัมพันธ์ต้องสะดุด แต่ความจริงแล้ว การใช้ถุงยางอนามัยไม่ได้รบกวนช่วงเวลาแห่งความสุข เนื่องจาก ถุงยางอนามัยมีหลายลักษณะให้เลือกใช้ ปัจจุบันถุงยางมีความบางเฉียบ ทั้งสี ผิวสัมผัส รวมถึงรสชาติต่าง ๆ ซึ่งมักช่วยสร้างความพึงพอใจ และเพิ่มความสุขขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ สิ่งสำคัญคือ ควรฝึกใส่ถุงยางให้ถูกวิธีเพื่อประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด
5.ถุงยางอนามัยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ความจริงแล้วไม่มีวิธีการคุมกำเนิดใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยถือว่าเป็นอุปกรณ์การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง และอาจช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ควรซื้อถุงยางอนามัยยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ และควรตรวจสอบรายละเอียดถุงยางก่อนใช้งาน ดังนี้
- ดูวันผลิตและวันหมดอายุ
- ผลิตภัณฑ์ปิดสนิท ไม่มีรอยแกะหรือรอยรั่ว
- ผลิตภัณฑ์ไม่มีความเสียหาย