มนตราวายสะ ตอนที่ 13 ผู้ใจดี (5)
+++++++++
“อย่าบอกนะคะว่านี่คือค่าจ้าง ถ้าจะให้ของ ฉันว่าให้เป็นเงินน่าจะดีกว่าไหมคะ” นางทิพย์วรรณแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ เพราะคิดว่าถ้าให้เป็นเงินยังจะเอาไปทำอย่างอื่นได้ ส่วนของใช้นางจะทยอยซื้อ อันไหนหมดก็ค่อยซื้ออันนั้นน่าจะดีกว่า
“ไม่ใช่หรอกค่ะ อันนี้ให้พิเศษต่างหาก ส่วนค่าจ้างสาให้ไปนกไปแล้วค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นนางทิพย์วรรณกับสามีก็พอจะยิ้มออกมาได้ “แล้วไป แต่รอบหน้าถ้าจะให้พิเศษแบบนี้อีก ให้เป็นเงินจะดีกว่านะคะ ส่วนของใช้เดี๋ยวแม่ซื้อให้มันเอง” แต่ก็ไม่วายที่จะแย้งนิดหน่อย เพราะยังไงนางก็คิดว่าได้เป็นตัวเงินดีกว่า
“ค่ะ” สุนิสาแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนจะดูเวลาแล้วใช้มือดันถุงของกินของใช้ที่คิดว่าจำเป็นในครัวเรือนให้สองสามีภรรยาแล้วลุกขึ้น “ของพวกนี้คุณพ่อคุณแม่ก็เก็บไว้ใช้นะคะ จะได้ไม่ต้องซื้อคิดว่าน่าจะใช้ได้เป็นเดือนเลย ถ้ายังไงเดี๋ยวสาขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะคะ” ว่าพลางยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าทั้งสอง
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ถ้ามีงานอะไรก็เรียกยัยนกได้เสมอ เพิ่มงานก็ได้ค่ะ แต่อย่าลืมเพิ่มเงินให้ด้วยนะคะ” นางทิพย์วรรณพูดสัพยอก แต่ความจริงก็คือเป็นการบอกคุณครูสาว ๆ อ้อม ๆ นั่นแหละ
“ค่ะ” สุนิสาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้เลิกสนใจสิ่งรอบข้าง และเริ่มรื้อของในถุงพร้อมกับคำนวณมูลค่าอยู่ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าจะไปคิดมันทำไม แล้วพยักหน้าเรียกลูกศิษย์ที่ยืนมองเธอสลับกับบุพการีทั้งสองอยู่ “นกเดินไปส่งครูที่หน้าบ้านหน่อยสิ”
“ค่ะ” ว่าแล้วเด็กน้อยก็เดินตามคนเป็นครูออกไป เมื่อมาถึงรถเธอก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “นึกว่าครูซื้อให้หนูแค่เสื้อผ้า ไม่คิดว่าของพวกนั้นครูก็ซื้อให้ด้วย”
“เอาไปเถอะ จะได้ช่วยพ่อแม่เราประหยัดเงินด้วยไง ส่วนเงินค่าจ้างให้คุณแม่สามร้อยอย่างที่ครูเคยบอกพวกท่านเอาไว้นะ ส่วนร้อยหนึ่งเราเก็บไว้เผื่อใช้ตอนฉุกเฉิน และถ้ามีอะไรขาดเหลือหรืออยากได้อะไรมาบอกครูได้ไม่ต้องเกรงใจรู้ไหม” สุนิสาบอกย้ำทุกอย่างอีกครั้ง หลังจากที่เรื่องนี้ได้บอกเด็กน้อยตั้งแต่ตอนอยู่บนรถไปแล้ว ไม่ใช่ว่าสอนให้เด็กยักยอกเงิน แต่ถ้าให้ไปจนหมดทุกบาท มันจะถูกใช้อย่างไร้ประโยชน์ อีกอย่างเงินสามร้อยนั้นคือค่าแรงจริง ๆ ที่เธอตกลงกับผู้ปกครองทั้งสองท่านเอาไว้ แต่ส่วนเกินที่เหลือเธอแบ่งสันปันส่วนมาจากเงินของชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่มาพบเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน พร้อมทั้งเสนอให้เธอช่วยเหลือดูแลสกุณาให้ โดยที่เขาจะจ่ายค่าจ้างเธอและจ่ายเงินค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้กับเด็กคนนี้เองนับจากวันนี้ไปจนกว่าจะเรียนจบ ซึ่งเขาให้เหตุผลว่าสกุณาได้ช่วยชีวิตเจ้านายของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งให้นามบัตรที่ในนั้นระบุชื่อและบริษัท รวมถึงช่องทางการติดต่อไว้อย่างครบถ้วน และบอกว่าเก็บมันไว้ให้ดี นามบัตรนี้เป็นแบบวีไอพีเสมือนเป็นบัตรผ่านที่จะเข้าพบประธานบริษัทได้โดยไม่ต้องนัดหมายได้
และเธอก็เคยลองมันทันทีในวันรุ่งขึ้น เพราะกลัวจะเป็นมิจฉาชีพ แต่มันกลับเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ เธอได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีและได้พบกับชายหนุ่มคนนั้นที่บริษัทยักษ์ใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอเจ้านายของเขา เพราะอีกฝ่ายไปทำธุระที่ต่างประเทศ นานกว่าจะกลับมา และด้วยเหตุนี้จึงอยากรบกวนเธอเป็นคนช่วยดูแลสกุณาให้หน่อย โดยที่พวกเขาจะคอยสนับสนุนทุกอย่าง แต่มีข้อแม้ว่า ไม่ต้องบอกให้พ่อแม่ของสกุณารู้ ส่วนตัวสกุณาเองก็ให้รู้แค่ว่ามันเป็นเงินทุนจากผู้ใจดีเท่านั้น เมื่อได้พูดคุยถึงจุดประสงค์ที่ฟังแล้วดีต่อตัวลูกศิษย์ของเธอมาก ๆ จึงไม่จำเป็นที่จะปฏิเสธ
“ค่ะ” สกุณารับคำหนักแน่น สุนิสาพยักหน้ารับยิ้ม ๆ พลางลูบศีรษะได้รูปนั้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออกจึงเดินเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
“พรุ่งนี้รบกวนคุณพ่อไปส่งน้องตอนบ่ายนะคะ พอดีตอนเช้าสามีธุระไม่อยู่บ้าน”
“ได้ครับคุณครู” เงยหน้าขึ้นมารับคำแล้วกลับไปสนใจของในถุงต่อ
“งั้นครูกลับล่ะ”
“สวัสดีค่ะ” สกุณายกมือไหว้แล้วเดินตามไปส่งคนเป็นครูไปขึ้นรถ เสร็จก็เดินกลับเข้ามานั่งลงฝั่งตรงข้ามบุพการีทั้งสอง
“ซื้ออะไรมาเนี่ย” นายบรรจงหยิบถุงในมือขึ้นมาเปิดดู “ไก่ทอด ซื้อมาทำไมหลายร้อยอยู่นะ ให้เงินมายังจะได้ใช้” ถึงจะบ่นแต่มือก็หยิบชั้นไก่ขึ้นมากัดกินด้วยท่าทีเอร็ดอร่อย
“โฮ้...ชุดใหม่ตั้งสามสี่ชุด ชุดละเกือบสามร้อย เงินตั้งพันกว่าบาทกลับเอาไปซื้อชุดอะไรก็ไม่รู้ ให้เป็นเงินยังจะได้ต่อทุน” นางทิพย์วรรณบ่นพลางยัดชุดของลูกสาวกลับเข้าถุงแล้วโยนมันไปให้เจ้าตัวอย่างไม่พอใจ
“นั่นสิ ครูคนนี้งกจริง ๆ ไหนจะของใช้อีก ให้เงินมาก็ซื้อเองได้เปล่าวะ หมดนี่คงไม่ต่ำกว่าสองสามพัน ทำไมมึงไม่ขอเขาเป็นเงินวะ” นายบรรจงถามลูกสาวเสียงเข้ม
“หนูไม่รู้ ครูเขาซื้อให้เอง ถ้าแม่ไม่เอา พรุ่งนี้หนูจะเอาไปคืนครูก็ได้นะคะ” สกุณาบอกพาซื่อ นั่นทำให้คนเป็นแม่อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเอานิ้วไปจิ้มที่หน้าผากเล็กนั้นแล้วออกแรงผลัก
“จะบ้าเหรอ ให้แล้วให้เลยสิ” นางทำเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนจะหันมาแบมือ “แล้วไหนเงินค่าจ้างเอาซิ”
“นี่ค่ะ” สกุณาหยิบเงินสามร้อยที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงฝั่งขวาไปวางลงบนมือของคนเป็นแม่พลางหลบสายตาอย่างคนมีความผิด แต่ใช่นางทิพย์วรรณกับสามีจะสนใจ รับเงินไปแล้วก็ไม่วายจะบ่นอีก “เฮอะ! สามร้อย ครูคนนี้มันฉลาด จ้างแม่บ้านวันหนึ่งไม่ต่ำกว่าห้าร้อย แต่มาจ้างเด็กได้จ่ายแค่วันละสามร้อย คุ้มตายห่า”
“หนูขอเอาของไปเก็บแล้วไปเล่นกับเพื่อนนะคะ” สกุณาที่ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานกลัวตัวเองจะหลุดพิรุธอะไรออกมาบอกพลางถือถุงเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นไปบนห้อง
“จะไปไหนก็ไปเถอะ” นางทิพย์วรรณบอกอย่างไม่ใส่ใจ ปากยังคงหยิบไก่และน้ำอัดลมรวมถึงแกะขนมขบเคี้ยวขึ้นมากิน และกำลังปรึกษากับคนเป็นสามีว่าจะแบ่งของใช้พวกนี้ไปขายให้กับคนรู้จักในราคาที่ถูกกว่าท้องตลอดนิดหน่อยดีไหม เหลือไว้แค่อย่างชิ้นสองชิ้น จะได้เอาเงินมาต่อทุนและใช้จ่ายนิด ๆ หน่อย ซึ่งนายบรรจงก็เห็นด้วยทุกอย่าง ดังนั้นทั้งสองจึงช่วยกันแยกของที่จะเอาไปขายและเอาไว้ใช้พร้อมกับพูดคุยหัวเราะกันคิกคัก ๆ ให้กับความฉลาดของตัวเองอย่างมีความสุขที่มีมาชั่วครั้งชั่วคราว