หินแกะสลักปริศนา..รูปจรวดอายุ 3,000 ปีของอิสตันบูล มันคืออะไรกันแน่
ช่วงนี้เราก็จะมานำเสนอสาระบทความแปลกแปลกเกี่ยวกับสิ่งลึกลับปริศนาต่างๆของโลกในยุคสมัยโบราณที่เรายังหาคำตอบและหลักฐานยังไม่ได้พอวันนี้เราก็จะมานำเสนอเกี่ยวกับหินแกะสลักรูปจรวด
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อ่ะที่ในสมัยโบราณเมื่อย้อนไปเมื่อ 3,000 ปีที่แล้วจะสามารถสร้างจรวดอะไรอย่างนี้ได้แต่สิ่งนี้มันมีหลักฐานยืนยันเป็นหินแกะสลักรูปจรวดอายุ 3,000 ปีของอิสตันบูลและมันยังคงเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบันนี้
เราเข้ามาดูรายละเอียดกันเลยดีกว่านะครับ
ปริศนาหินแกะสลักรูปจรวดอายุ 3,000 ปีของอิสตันบูล
ปริศนาหินแกะสลักรูปจรวดอายุ 3,000 ปีของอิสตันบูล
ความลึกลับของหินแกะสลักของเมืองอิสตันบูลถูกค้นพบในเมืองทุชปา ประเทศตุรกี เมื่อปี ค.ศ. 1973 ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อโทปราคคาเล รูปแกะสลักจากหินสีเหลืองน้ำตาลนี้
หลายคนเชื่อว่าเป็นภาพนักบินอวกาศในสมัยโบราณที่ติดอยู่กับจรวด
ครั้งหนึ่งเมืองทุชปาเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอูราร์ตู ซึ่งเป็นอาณาจักรที่สูญหายไปตามกาลเวลา
แม้ว่าเราจะทราบเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับต้นกำเนิดหรือผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่น แต่เราทราบจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ว่าพวกเขาเป็นช่างโลหะที่มีชื่อเสียง พูดภาษาที่เชื่อกันว่าใกล้เคียงกับภาษาฮูร์เรียน และเขียนด้วยอักษรคูนิฟอร์มของอัสซีเรีย
แม้ว่าในสายตาของคนยุคใหม่จะดูเหมือนจรวด แต่ก็อาจเป็นอย่างอื่นได้ เป็นที่น่าสังเกตว่าดอกไม้ไฟและวัตถุระเบิดดินดำเป็นที่รู้จักและใช้กันมานานก่อนที่จะได้รับความนิยมในประเทศตะวันตก
ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1633 มีรายงานว่า Lagâri Hasan Çelebi ได้ติดดินปืนสีดำประมาณ 140 ปอนด์เข้ากับจรวด 7 ปีก และนำตัวเองออกสู่ทะเล เมื่อกลับมา เขาก็ได้รับรางวัลตอบแทนอย่างล้นหลามจากสุลต่านมูรัดที่ 4 กล่าวกันว่าเฮซาร์เฟน อาห์เหม็ด เซเลบี พี่ชายของเขาเคยบินด้วยเครื่องร่อนในลักษณะเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน
ปัจจุบันวัตถุนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล และยังไม่เคยจัดแสดงให้สาธารณชนได้ชมเลย
หินแกะสลักปริศนาหินแกะสลักรูปจรวดนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันจนมาถึงปัจจุบันว่า
มันคืออะไรกันแน่แต่รูปลักษณ์ที่บ่งบอกนั้นมันน่าจะเป็นจรวดหรือว่ายานบินอะไรสักอย่างแน่นอนเลยครับ หรือว่ามันอาจจะเป็นกลไกที่เรายังหาคำตอบไม่ได้ ถ้าเราจินตนาการว่ามันเป็นคนจากอนาคตไปสร้างไว้ในอดีตทะลุมิติอะไรในทำนองนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้นะครับแต่มันก็แปลกมากๆก็ยังเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบันนี้
ภาพจาก google search