ประสบการณ์ผ่าตัดเส้นเลือดขอดที่อัณฑะครั้งแรก
ท้าวความก่อนว่ารู้สึกว่าตัวเองอัณฑะไม่เท่ากันและหน่วงๆมาตั้งแต่เด็กแล้วน่าจะตั้งแต่อายุ 15-16 แต่ไม่เคยสงสัยว่าเป็นอะไร คิดว่าปกติ และเมื่อก่อนไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ได้ศึกษาหาข้อมูลเยอะเหมือนทุกวันนี้เลยรู้ข้อมูลโรค จนมาไม่กี่ปีนี้น่าจะ 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ได้เข้าไปอ่านในกระทู้พันทิปหรือหาใน google ถึงสังเกตและได้รู้ว่าสิ่งที่เราเป็นนั้นมันเหมือนกับข้อมูลในข้อมูลที่เขาลงไว้เลย แต่ก็ไม่เอ๊ะใจอะไรก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ จนผ่านมาอีก 2-3 ปีเลยไปตรวจดูที่โรงพยาบาลเพื่อให้แน่ใจว่ามันใช่อย่างที่เราอ่านมาไหมและก็ผลตรวจออกมา
สรุปว่าเป็นเส้นเลือดขอดที่อัณฑะจริงๆ และตรวจซ้ำประมาณ 4-5 รอบ รวมถึงได้ อัลตร้าซาวด์ด้วย หมอพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นโรคดังกล่าว แต่หมอก็ไม่ผ่าตัดให้นะครับ ให้แต่ยามากินบอกว่าไม่เป็นอะไรอยู่กับเราไปจนตาย ผ่าไปก็ไม่หาย(ว่าสั่น!) (อ้ออยากจะบอกว่าเคยมีครั้งนึงไปมีเพศสัมพันธ์แล้วเส้นเลือดขาดทำให้เลือดไหลเต็มลูกอัณฑะบวมใหญ่เท่ากำปั้น ทั้งที่ไม่ได้ทำรุนแรงอะไร แต่น่าจะเกิดจากเส้นเลือดมันบิดขดกันจนทำให้เสียดสีทำให้เส้นเลือดฝอยฉีกขาดไป ไปหาหมอก็บอกว่าแค่เส้นเลือดฝอดฉีกขาด ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย
ตั้งแต่นั้นมาก็รู้สึกว่าตัวเองอัณฑะตัวเองผิดปกติดูใหญ่และหน่วงๆมาเรื่อยๆ. จนล่าสุดทนไม่ไหวจริงๆ รู้สึกว่ามันหน่วงมากๆ และเวลาขับรถหรือนั่งทำงานมันร้อนไข่สุดๆ ร้อนผ่าวๆเหมือนกำลังโดนลนด้วยไฟ หรือโดนน้ำร้อนลวก และเวลายืนจับดูเส้นเลือดจะแบบพองโตผิดปกติจนน่ากลัว ทำให้ทนไม่ไหวแล้วต้องทำอะไร และที่สำคัญแต่งงานมาหลายปีแล้วยังไม่มีลูกเลย เพราะหมอก็บอกว่ามีสิทธิ์ที่จะทำให้ไม่มีลูกได้ เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่ายังไงก็ต้องผ่า แต่ถ้าไปบอกให้ผ่าผ่ามันก็จะไม่ได้เพราะประกันจะไม่คุ้มครอง เลยบอกไปว่ามันเจ็บและหน่วงๆ ร้อนๆ แสบๆ ซึ่งก็คือมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หมอเลยตรวจละเอียดดู บอกว่าเป็นขั้นที่ 4 แล้ว ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย (คิดในใจตายละคงอดมีลูกแน่ๆป่านนี้เป็นหมันละล่ะ)
หลังจากที่ตรวจเสร็จหมอก็บอกจะผ่าไหมล่ะ ผมเลยรีบตอบไปเลยว่าผ่าครับ ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่ หมอก็อธิบายดีนะ บอกว่าถึงผ่าแล้วก็ไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้นะ และอาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องที่จะมีลูกได้100% แต่ผมก็คิดว่าเป็นไงเป็นกันวะไม่ไหวแล้ว เป็นมาหลายปีไม่ทนละ แถมยังลูกก็ไม่มีซะที จะมีอะไรเสียอีกหรอ เลยตอบตกลง และหมอให้เลือกว่าจะผ่าแบบไหนระหว่างแบบเปิดแผลกับส่องกล้อง
ตอนแรกผมเลือกแบบเปิดแผล (เพราะหมอแนะนำว่าถ้าผ่าแบบนี้จะสามารถเก็บรายละเอียดเส้นเลือดได้ดีกว่าส่องกล้องลดการกลับมาเป็นอีกครั้งได้ นานกว่า
พอผมไปค้นหาข้อมูล มันอาจจะฟื้นตัวช้าซึ่งผมจำลำบากในการลางานมากๆ เพราะไม่สามารถลางานได้หลายวัน จึงต้องเลือกส่องกล้องเพื่อที่จะได้กลับมาฟื้นตัวได้เร็วและได้ไปทำงานปกติ และแผลก็ไม่กว้างด้วย
ที่สำคัญคุยกับคนที่เคยผ่าตัดบอกว่าถึงแม้ส่องกล้องก็อาจจะต้องดูแลตัวเองกลับมาฟื้นตัวยากและก็เปอร์เซ็นต์มีลูกแทบไม่มี
ผมก็เลยตัดสินใจผ่าเพราะได้นัดหมอไปแล้ว ซึ่งได้ถามวิธีการผ่าและค่ารักษาพยาบาลแล้วก็นัดวันเลย (ค่ารักษาแพงพอสมควรเป็นโรงพยาบาลเอกชน น่าจะ6-7 หมื่น (ดีแต่ผมมีประกันกลุ่มบริษัทและประกันสังคม ถ้าเบิกประกันกลุ่มหมดก็จะตัดเป็นประกันสังคมต่อโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย)
หลักจากนั้นพยาบาลได้ทำเรื่องไปเบิกกันสังคมและประกันกลุ่ม ว่าสามารถเคลมได้ไหม อีกประมาณ 2-3 วันก็โทรมาบอกว่าประกันกลุ่มผ่านแล้วแจ้งวันที่สดวกได้เลยแต่ต้องตามวันเวลาที่เบิกประกัน ผมเลยนัดเป็นวันเสาร์ที่ 19/9/63 (เลขดีเลย)
หลังจากนั้นพยาบาลก็ดิวกับหมอว่าวันดังกล่าวหมอสดวกไหมเพราะหมอจะวิ่งหลายที่ ต้องมีคิวหมอตรงด้วย หมอบอกว่าวันที่ 19 ว่างก็เลยนัดเลยใช้เวลานัดประมาณ ครึ่งเดือน ถึงวันผ่า
พอมาถึงวันผ่าต้องเตรียมตัวมาแอดมิด 1คืนคือวันศุกร์ 18 หลังจากเลิกงานผมก็ขับรถมาที่โรงพยาบาล เอารถมาจอดที่นี่เลย มาถึงก็ลงทะเบียน วัดความดัน น้ำหนัก ส่วนสูง ตรวจคลื่นหัวใจ x ray ปอด เจาะเลือด เข้าน้ำเกลือ
เจ้าพนักงานถามว่าครั้งแรกใช่ไหม ผมบอกครั้งแรกเลย ไม่เคยผ่าตัดหรือหาหมอหนักขนาดนี้มาก่อน ตอนเจาะเลือดผมได้ถามกับพยาบาลว่าเป็นการวางยาสลบหรือบล็อคหลัง พยาบาลบอกเคสผ่าช่วงล่างส่วนมากจะบล็อคหลัง
ระหว่างรอตรวจโน่นนี่นั่น และรอผลเลือด พยาบาลมาถามว่าจะเลือกเป็นห้องแบบไหน ระหว่างห้องรวม 4 คน และห้องเดี่ยว ถามราคาแล้ว คืนวันศุกร์ผมเลือกห้องรวม 4 คน ไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนคืนวันเสาร์คือวันที่ผ่าและหมอให้นอนอีกคืน ผมเลือกห้องเดี่ยวหลักหักจากประกันกลุ่มและประกันสังคมแล้วเหลือที่ต้องจ่าย 1900 (ปกติคืนละ 5800) เพราะผมจะได้สดวกลุกสดวกเข้าห้องน้ำ และแฟนจะได้มานอนเฝ้าด้วย
หลังจากตรวจเช็คอะไรเสร็จแล้ว พยาบาลก็พาขึ้นไปห้องรวม เอารถเข็นมารับเหมือนคนป่วยเดินไม่ได้เลย 55 (รู้สึกหดหู่เลยถ้าเป็นสภาพแบบนี้คือมันคงทรมานมากนะคนที่เดินไม่ได้และมีคนมาเข็นรถเข็นให้เนี่ย)
พอถึงห้องพักแล้วบรรยากาศห้องรวมนี่มันเหมือนในหนังผีชัดๆเลย ที่มีม่านกั้นระหว่างเตียง แล้วกลางคืนก็มีเสียงเตียงข้างๆ ไรประมาณนี้ (แต่ผมไม่กลัวผีอยู่แล้วครับ และห้องก็สะอาดมากไม่น่ากลัวเลย) มาถึงแล้วพยาบาลก็มาวัดความดันอีกรอบ แปลกมากมารอผ่าตัดความดันก็เพิ่มขึ้น หัวใจก็ผิดปกตินิดนึง ทั้งที่เคยตรวจประจำปีปกติทุกอย่าง แต่หมอบอกว่าไม่เป็นไรเครื่องอาจจะผิดพลาดเกิดได้หลายกรณี
ตลอดทั้งคืนก็จะมีพยาบาลมาวัดความดันและเปลี่ยนสายน้ำเกลือ เตียงข้างๆ เดินกันทั้งคืน ผมนี่นอนไม่หลับเลย (ดีนะหลังผ่าตัดอีกคืนนอนห้องเดี่ยวไม่งั้นไม่ได้พักผ่อนแน่ๆ)ไม่รู้จะมีผลอะไรกับผ่าตัดไหม และทั้งคืนฉี่บ่อยมากไม่รู้เป็นเพราะน้ำเกลือไหม?
6 โมงเข้าพยาบาลก็มาเช็ดตัวให้และโกนขน (พยาบาลถามจะโกนเองหรือให้พยาบาลโกนให้ ผมอายเลยขอโกนเองเลย พอเสร็จพยาบาลก็ต้องเช็คว่าโกนดีไหม)
ทีนี้ก็รอเรียกพบหมอและขึ้นเขียง
ประมาณ 9.30 โมงเช้า ถึงเวลาเจ้าหน้าที่เข็นเตียงมารับในห้องไปที่ห้องผ่าตัด รอหมอประมาณ 30 นาที
*ลืมบอก สรุปผมคุยกับหมอว่าจะขอเปลี่ยนเป็นผ่าส่องกล้อง แต่หมอบอกว่าถ้าจะเปลี่ยนวิธีผ่าจะต้องเลื่อนนัดวันใหม่อีก แต่ถึงผ่าปกติแบบเปิดปากแผลยังไงก็ฟื้นตัวไม่ถึง 2-3 วัน ผมเลยมาถึงขนาดนี้ ยังไงก็ต้องผ่าวะ เลยบอกหมอว่าผ่าเลย
หลังจากนั้นพยาบาลก็เอาม่านกั้นระหว่างท่อนล่างกับบนช่วงหน้าอกพอดี แล้วแพทย์บล็อคหลังก็ทำการฉีดบล็อคหลังเข้าข้างหลังให้ผมงอเข่าสุดๆเพื่อให้เห็นเส้นเลือดข้างหลัง (ตอนแรกกลัวว่าจะเจ็บมากๆ แต่ไม่เจ็บเลยเจาะเข้าน้ำเกลือยังเจ็บมากกว่า แล้วแพทย์ก็ทดสอบเอาเข็มมาจิ้มๆ ระหว่างท่อนบนกับล่างว่ารู้สึกยังไง ผมค่อยๆชาขึ้นเรื่อยๆ ทั่วขาส่วนล่าง แพทย์ก็บอกใช้เวลาผ่าตัด ชั่วโมงนึง และยาชาจะออกฤทธิ์ประมาณ 5-6 ชม. ( ผมไม่เคยบล็อคหลังเลยไม่รู้ทำตัวยังไง ร่างกายผมจะต่อต้านมาก จะพยายามกระดุกกระดิกตลอด ฝืนให้ร่างกายขยับ ทั้งที่ขยับตัวไม่ได้ ) หมอเลยบอกผมว่าให้ผ่อนคลายอย่าฝืน ปล่อยมันไป แพทย์แกคงรู้ว่าผมพยายามฝืนที่จะขยับ แกเลยให้ยานอนหลับเพื้อจะให้ผมได้ผ่อนคลาย เรื่อยๆ ส่วนทางหมอผ่าตัดก็ทำการผ่าตัดผมจะได้ยินแค่เสียงอุปกรณ์และตัวผมสั่นๆหรือเคลื่อนไหว รู้สึกตัวไปหมด เหมือนศพมี่แข็งทื่อไม่รู้สึกอะไร สักพักยานอนหลับเริ่มออกฤทธิ์ผมก็เบลอๆ ง่วงๆ บังเอิญเป็นคนนอนยาก หมอเลยจัดยานอนหลับแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเผลอหลับไป ฝันไปเรื่อยๆมาตื่นรู้ตัวอีกทีเสร็จแล้ว และพยาบาลเข็ญรถมาส่งที่ห้องแล้ว แล้วก็เอาตัวผมมาที่ห้อง ตอนนี้ขาก็ยังขยับไม่ได้ พยาบาลและคนเข็ญเตียงเป็นคนยกขึ้นเตียง พอขึ้นเตียงแล้ว ผมนอนไม่หลับเลย รู้สึกปวดหลังมากๆ สุดที่จะทน ไม่ใช่ปวดแผลนะ น่าจะปวดเพราะบล็อคหลัง หรือกระดูกทับเส้นก็ไม่รู้เพราะนอนนิ่งท่าเดียวนานเกินไป.
ประมาณ บ่าย 2-3 โมงเย็น น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมงหลังจากออกจากห้องผ่าตัด ขาก็เริ่มกระดุกกระดิกได้ ทีละนิดๆ กะจะนอนพักก็ไม่ได้นอนทั้งพยายามขยับขา ทั้งปวด ทั้งเจ็บแผลไปหมด สักพักพยาบาลเลยมาฉีดยาแก้ปวดให้ ค่อยทุเลา หลับได้ แล้วมีอาหารมาให้ตอนเย็น ทั้งวันเพิ่งได้กินข้าว รู้สึกหิวมาก และหมอบอกให้ปัสสวะ เวลา 17.30 น. ต้องปัสสวะให้ได้ไม่งั้นอาจจะต้องสวน ผมลองเข้าไปฉี่ก็ได้ปกตินะครับ
หลังจากนั้นก็จะลุกเข้าห้องน้ำเองบ้าง พยายามถ่ายให้ได้ แต่ทีละนิดเพราะเบ่งได้ไม่มากให้แฟนพยุงบ้าง ยังเจ็บอยู่แต่ก็ยังพอทนไหวเพราะเวลาลุกเดินไปมา ทำให้ไม่ปวดหลังด้วยซ้ำ แต่เจ็บแผล พอทานข้าวเสร็จประมาณ 3 ทุ่มก็นอน ตื่นมาตอน 6 โมงพยาบาลมาวัดไข้ วัดความดันปกติ อาการเริ่มดีขึ้นมาก ประมาณ 9 โมง เช้า การเงินก็โทรมาเรื่องเบิกประกันและให้ไปเซ็นเอกสารและกลับได้
มาถึงบ้านแล้วนอนพักทั้งวันรู้สึกอาการเจ็บเริ่มบรรเทาขึ้นแต่ สังเกตอัณฑะยังบวมอยู่ครับน่าจะรอสักอาทิตย์ เพราะยังต้องพบหมออีก
หลังจากผ่าตัดได้ประมาณ ปีนึง แผลหายปกติ ผมดูแลตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะมีลูกโดยที่ งดเหล้าบุหรี่ ออกกำลังกายเยอะๆ กินซิ้งเยอะๆ กินวิตามิน กินนมครับ พอร่างกายแข็งแรงพร้อม ดูแลตัวเองทุกช่องทางเพื่อให้แข็งแรงและมีเซ็กส์ก็ต้องให้นานๆ และพุ่งแรง เน้นออกกำลังกายส่วนล่างอย่างพวกก้นและขา เพื่อความแข็งแรงของส่วนล่าง ดื่มน้ำเยอะๆ นอนเยอะๆ นอนเร็วๆ ไม่เครียด ผ่านไปประมาณ 2 เดือน ผมก็ได้ข่าวดีครับ ลูกสาวมาเกิดแล้ว ดีใจมากๆ ที่ฟ้ามอบลูกมาให้ ผมก็ขอบคุณคุณหมอที่ยอมรับว่าเก่งมาก ขอให้พรส่งต่อคุณหมอและพยาบาลทุกคนที่ทำให้ผมมมีไอ้ตัวน้อยๆ สุดแสนจะน่ารัก ตอนนี้ลูกสาวผมจะ 3 ขวบละครับ ทั้งน่ารัก ทั้งแสนซน ครบสมบูรณ์ทุกอย่างแถมแข็งแรงมาก ๆ ด้วย สงสัยเป็นตัวอสุจิที่แข็งแรงสุดๆ มุดมาเกิดจนได้ 555
อ้อลืมบอก อาการ อาจจะกลับมาเป็นบ้างแต่น้อยกว่าเดิมครับเพราะหมอก็บอกว่ามีโอกาสกลับมาเป็นอีกอยู่แล้วไม่หายขาด แต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกนะครับ และอสุจิก็เยอะกว่าเดิมมากครับ
***พิมพ์ขาดตกตรงไหนขออภัยครับใช้โทรศัพท์พิมพ์