ห่วงสามเศร้า
ห่วงสามเศร้า
#อักษราลัย
ความเงียบปกคลุมศาลาวัด มีเพียงเสียงพัดลมเพดานหมุนเบา ๆ และเสียงไม้ขีดไฟที่ญาติผู้ใหญ่จุดธูปเป็นระยะ ม่านสีขาวพลิ้วไหวตามแรงลม โลงไม้สีขาววางอยู่กลางศาลา ล้อมด้วยพวงหรีด กลิ่นดอกไม้สดที่ตกแต่งบนโลงผสานกับควันธูปลอยอวลในอากาศ
"มีบุตรห่วงหนึ่ง เกี่ยว พันคอ..." เสียงหลวงพ่อทอดยาวในความเงียบ ขณะสายสิญจน์เส้นแรกถูกคลี่ออก นนท์รู้สึกถึงความหนักอึ้งในอก โคลงโบราณที่ท่านสวดสะท้อนสัจธรรมที่ต้องเผชิญในยามนี้ เขายังจำความรู้สึกเมื่อสามวันก่อนได้ดี วันที่พยาบาลโทรมาแจ้งว่าแม่จากไปอย่างสงบในช่วงเช้ามืด ตอนนั้นเขากำลังเตรียมตัวไปทำงาน โทรศัพท์ร่วงจากมือ ขาอ่อนทรุดลงกับพื้น โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน
"ทรัพย์สมบัติเป็นแค่ของชั่วคราว เท่านั้นลูก" เสียงแม่ดังก้องในความทรงจำ ตอนนั้นเขาเพิ่งรู้ว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด กำลังนั่งซึมเสียใจอยู่บนบันไดขึ้นบ้านเพราะเสียดายค่าเรียนพิเศษที่พ่อแม่ทุ่มเทให้
น้าน้อยผู้เป็นญาติผู้น้องของแม่สะอื้นเบา ๆ ที่มุมศาลา ลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ พยายามปลอบโยน บางคนกระซิบกันเบา ๆ ถึงความดีของแม่ที่ชอบช่วยเหลือทุกคนในครอบครัวยามลำบาก
"แม่ไม่เคยเสียดายเงิน แต่แม่เสียดายที่ลูกไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง" แม่ลูบหัวเขาเบา ๆ "คนเราไม่ได้มีดีแค่เรื่องเรียน ดูแม่สิ จบแค่ ป.4 ก็เลี้ยงลูกจนโตได้"
"ทรัพย์ผูกบาทา คลอ หน่อวงไว้..." บทโคลงดังต่อเนื่อง ขณะสายสิญจน์เส้นที่สองถูกพันที่เท้าของร่างไร้วิญญาณ นนท์นึกถึงรองเท้าคู่เก่า ๆ ที่แม่มักใส่ไปขายก๋วยเตี๋ยวทุกเช้า เพื่อเก็บเงินส่งเขาเรียน
ในใจของนนท์เกิดความขัดแย้ง เขารู้ว่าต้องปล่อยวางตามหลักศาสนา แต่ส่วนลึกในหัวใจกลับอยากยึดเหนี่ยวแม่ไว้ ความทรงจำวัยเด็กผุดขึ้นมาไม่หยุด ทั้งตอนป่วยที่แม่คอยเช็ดตัวให้ ยามทุกข์ที่แม่คอยปลอบโยน แม้กระทั่งเมื่อเดือนก่อนที่แม่ยังยิ้มอย่างสดชื่นให้จากเตียงผู้ป่วย ตอนนั้นเขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นรอยยิ้มสุดท้าย ก่อนอาการของแม่จะเริ่มหนักขึ้น
พี่ชายคนโตของแม่ยืนพิงเสาศาลา สายตาเหม่อลอย ภรรยาของท่านกระซิบบอกลูกหลานว่า ตั้งแต่รู้ข่าวแม่จากไป ก็แทบไม่พูดไม่จา เพราะแม่เป็นน้องสาวคนเดียวที่ท่านรักและเอ็นดูมาตลอด
"พ่อครับ..." นนท์หันไปมองพ่อที่นั่งนิ่ง มือยังกุมสายสิญจน์เส้นที่จะผูกมือของแม่
"ภริยาเยี่ยงอย่าง บ่อ รัดรึง มือนา..." เสียงสวดแผ่วเบา สะท้อนความผูกพันยาวนาน
พ่อส่ายหน้า น้ำตาไหลอาบแก้ม มือสั่นเทาขณะดูสัปเหร่อพันสายสิญจน์รอบข้อมือที่เคยกุมกันมาตลอด 45 ปี เสียงสะอื้นของญาติ ๆ ดังแผ่วเบาทั่วศาลา
"แม่ของลูก..." พ่อเอ่ยเสียงสั่น "เป็นคนแรกที่เชื่อมั่นในตัวพ่อ ขณะที่ทุกคนบอกว่าพ่อเป็นแค่เด็กปั๊มขี้เกียจ"
ภาพของหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งคุยกันในร้านก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำ
"พี่จะเปิดอู่ซ่อมรถ" เสียงของพ่อในวัยหนุ่มเอ่ยอย่างมุ่งมั่น
"หนูเชื่อว่าพี่ทำได้" น้ำเสียงของแม่อ่อนหวาน "หนูมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง..."
"วัฏสงสารนี้ไม่มีที่สิ้นสุด" หลวงพ่อเทศน์เบา ๆ "จนกว่าเราจะตัดห่วงทั้งสามนี้ได้ ดวงวิญญาณถึงจะพ้นทุกข์"
"อย่าร้องนะลูก" เสียงหลวงพ่อดังขึ้น ดึงนนท์กลับสู่ปัจจุบัน "การร้องไห้จะทำให้ดวงวิญญาณของแม่ห่วงใย ไม่อาจไปสู่สุคติได้"
นนท์กลืนน้ำตา มองสายสิญจน์เส้นสุดท้ายที่พันรอบคอของแม่ นึกถึงคำพูดที่แม่มักพูดซ้ำ ๆ ยามที่เขาท้อแท้
"ลูกแม่ต้องเข้มแข็ง เพราะชีวิตคือการเวียนว่ายในวัฏสงสาร" แม่เคยสอน "เราต้องสร้างบุญกุศล เพื่อภพหน้าที่ดีกว่า"
เสียงสวดมนต์ของพระดังแว่วมา พร้อมกับกลิ่นธูปที่ลอยอ้อยอิ่ง "สามห่วงใคร พ้นได้ จึงพ้น สงสาร" บทโคลงท่อนสุดท้ายดังก้องในศาลา สายสิญจน์ทั้งสามเปลาะถูกผูกเสร็จสิ้น ที่คอ ที่มือ และที่เท้า แต่ละเปลาะล้วนมีความหมาย เป็นการปลดปล่อยจากสายใยแห่งความผูกพันในโลกมนุษย์
"คนเราต้องปล่อยวางทุกอย่าง" หลวงพ่อเทศน์ "ทั้งความรักของลูก ทรัพย์สมบัติ และสายใยครอบครัว นี่คือสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน การยึดติดคือต้นเหตุแห่งทุกข์ การปล่อยวางคือหนทางสู่ความหลุดพ้น"
พ่อลุกขึ้นช้า ๆ เดินไปที่โต๊ะหมู่บูชา หยิบรูปถ่ายเก่า ๆ รูปหนึ่งขึ้นมา รูปครอบครัวในวันที่นนท์รับปริญญา ใบหน้าของแม่เปื้อนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
"แม่บอกว่าวันนั้นเป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิต" พ่อเอ่ยเบา ๆ "ความสุขของแม่ไม่ได้อยู่ที่เงินทอง แต่อยู่ที่การเห็นลูกประสบความสำเร็จ"
"กรรมดีที่แม่ทำไว้" นนท์พูดเสียงสั่น "จะนำพาแม่ไปสู่สุคติ"
แสงแดดอุ่นสาดส่องผ่านหน้าต่าง ส่องกระทบสายสิญจน์สีขาวให้เป็นประกาย เหมือนเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ต้องปล่อยวาง ปล่อยให้ผู้จากไปได้เดินทางสู่ภพภูมิใหม่
"ไปสู่สุคติเถิดนะแม่" นนท์กระซิบ พลางโอบไหล่พ่อที่ยืนสั่นเทา "ลูกจะดูแลพ่อเอง แม่ไม่ต้องห่วง"
เสียงนกร้องแว่วมาพร้อมสายลม ราวธรรมชาติกำลังบอกว่า ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ในอีกภพภูมิหนึ่ง และสายสิญจน์ทั้งสามเปลาะก็เป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า เป็นการอำลาครั้งสุดท้ายก่อนการปล่อยวาง ก่อนที่วิญญาณจะออกเดินทางในวัฏสงสาร เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นในที่สุด
ญาติผู้ใหญ่หลายคนค่อย ๆ ทยอยลุกขึ้น เตรียมตัวสำหรับพิธีต่อไป แต่ละคนแม้จะเศร้า แต่ก็พยายามทำใจยอมรับความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะทุกคนรู้ดีว่า นี่คือสัจธรรมที่ทุกชีวิตต้องพบเจอ และในวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องปลดปล่อยจากห่วงทั้งสามนี้เช่นกัน