เรื่องสั้นลึกลับ (แต่ง)
คืนที่ไร้แสงดาว
ในค่ำคืนอันมืดมิดที่ไร้แสงดาว ลมหนาวพัดผ่านทำให้ผิวหนังของ "วิลาศ" ชายหนุ่มวัยกลางคน รู้สึกเย็นเฉียบ แม้จะเป็นช่วงปลายฤดูฝนที่สายฝนหยุดลงแล้ว ทว่าท้องฟ้ากลับไม่ปรากฏแสงจันทร์หรือแสงดาวแม้แต่น้อย มีเพียงหมู่เมฆสีดำทึบที่ดูเหมือนกำลังบีบคั้นความมืดให้เข้ามาใกล้ตัววิลาศมากขึ้นเรื่อย ๆ
วิลาศเป็นนักเขียนแนวสืบสวนผู้มีชื่อเสียง แม้เขาจะไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวในคืนนั้นทำให้เขาต้องคิดใหม่ ท่ามกลางความวุ่นวายและเรื่องราวที่เขียนไม่เสร็จ เขาเลือกที่จะออกมาหาที่เงียบสงบเพื่อปลดปล่อยความเครียด
หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในชนบท เป็นที่ที่เขาตัดสินใจจะพักผ่อนและหาความสงบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับงานเขียนใหม่ วิลาศเช่าบ้านเก่าหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชน โดยมีเพียงบ้านหลังอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในทุ่งนากว้างใหญ่ เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าจากชาวบ้านเกี่ยวกับตำนานแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
คืนที่เขาย้ายเข้ามาเป็นคืนแรกที่ไร้เสียง สิ่งเดียวที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้ที่ปลิวไสวและเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ของสัตว์เล็ก ๆ ที่เดินผ่านบริเวณรอบบ้าน อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศจะดูสงบ แต่วิลาศกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างคอยเฝ้ามองเขาอยู่จากที่ไกล ๆ
ในคืนนั้น ขณะที่เขากำลังนั่งทำงานด้วยความเงียบสงัด วิลาศเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติ เมื่อเขากำลังจดจ่อกับการเขียน จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านนอกประตูบ้าน มันเป็นเสียงเคาะที่ชวนขนลุก ช้าและสม่ำเสมอราวกับมีคนตั้งใจจะให้เขารู้ตัว
วิลาศลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานพร้อมกับความสงสัย เขาเดินไปที่ประตูหน้าบ้าน ก่อนจะค่อย ๆ เปิดออกอย่างระมัดระวัง แต่สิ่งที่เขาพบกลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่มีเงาของคน หรือสัตว์ใด ๆ มีเพียงความว่างเปล่าและความมืดที่ปกคลุมรอบด้าน
"อาจจะเป็นเสียงจากลม..." เขาพยายามบอกตัวเอง พลางปิดประตูและเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เสียงเคาะเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังมาจากหน้าต่างด้านข้าง วิลาศลุกขึ้นอีกครั้ง เดินไปเปิดหน้าต่าง แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งใดที่เป็นต้นเหตุของเสียงนั้น นอกจากลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเสียงใบไม้ที่กระทบกัน
เขากลับมานั่งลงพยายามจดจ่อกับงานเขียน แต่ครั้งนี้เสียงเคาะกลับดังขึ้นถี่ขึ้นและดังมากกว่าเดิม ไม่เพียงแค่จากหน้าต่างหรือประตู แต่เหมือนกับมีเสียงเคาะมาจากทุกทิศทางของบ้าน มันฟังดูราวกับมีคนหลายคนกำลังเคาะพร้อมกันในจังหวะที่น่าขนลุก วิลาศรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น เขาเริ่มหวาดระแวงและไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสียงเคาะยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด วิลาศรีบคว้าไฟฉายและตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อตรวจสอบรอบ ๆ แต่สิ่งที่เขาพบก็คือทุ่งนาที่ราบเรียบ ไม่มีใครอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่อธิบายเสียงแปลกประหลาดนั้นได้
ขณะกำลังยืนสงสัย วิลาศสังเกตเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่ขอบทุ่งนา เขาจับตาดูด้วยความระมัดระวัง เงานั้นสูงโปร่งและเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ราวกับกำลังลอยอยู่ในอากาศ เมื่อเขาพยายามสาดแสงไฟฉายไปที่มัน เงานั้นก็หายวับไปในทันที
ความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำ วิลาศรีบวิ่งกลับเข้าบ้านและล็อกประตูทันที ขณะที่เขากำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อขอความช่วยเหลือ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ
บนกระจกหน้าต่างห้องนั่งเล่น ปรากฏรอยมือที่ชัดเจน รอยมือนั้นมีลักษณะคล้ายกับมือของมนุษย์ แต่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ ราวกับเป็นมือของบางสิ่งที่ไม่ควรอยู่ในโลกนี้ วิลาศค่อย ๆ ก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่การเล่นตลก
ในจังหวะที่เขาพยายามจะหายใจลึก ๆ เพื่อสงบสติ เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังมาจากทุกทิศทาง ราวกับกำแพงบ้านทั้งหมดกำลังถูกโจมตี เขาได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ดูเหมือนจะลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง เสียงนั้นเหมือนกับเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นสนุก แต่บรรยากาศกลับไม่ได้สร้างความสุขหรืออบอุ่นเลยสักนิด มันเป็นเสียงหัวเราะที่เย็นชาและน่าขนลุก
วิลาศพยายามควบคุมตัวเอง เขาตัดสินใจว่าต้องออกจากที่นี่ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวไปที่ประตูไฟในบ้านก็พลันดับวูบลง ทิ้งให้เขาติดอยู่ในความมืดที่หนาทึบ สิ่งเดียวที่เขามีคือลำแสงอ่อน ๆ จากไฟฉายที่สั่นไหวในมือ
ขณะที่เขาพยายามหาทางออกจากบ้าน ความรู้สึกหนาวเย็นแทรกผ่านผิวหนังของเขาอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนหรือบางสิ่งบางอย่างยืนอยู่ใกล้ ๆ เขารู้สึกถึงลมหายใจเบา ๆ ที่คอของเขา และทันใดนั้นเอง เสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังขึ้นข้างหู
"คุณหนีไม่พ้นหรอก..."
วิลาศรีบหันไปทางที่มาของเสียง แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงเงาดำทมึนที่คล้ายกับร่างมนุษย์ แต่ไม่มีใบหน้าหรือรายละเอียดใด ๆ เงานั้นยืนอยู่เพียงแค่ไม่กี่ก้าวจากตัวเขา มันเอื้อมมือมาใกล้ วิลาศรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่แขนของเขา ร่างกายของเขาถูกดึงเข้าหาเงาดำนั้นอย่างช้า ๆ
ก่อนที่เขาจะรับรู้ถึงสิ่งใดอีก ความมืดก็เข้าครอบงำทุกอย่าง หลงเหลือเพียงเสียงลมที่พัดผ่านเบา ๆ และความเงียบสงัดที่กลับมาเยือนบ้านหลังเก่านั้นอีกครั้ง
---
เมื่อเช้าตรู่ของวันถัดมา ชาวบ้านพบว่าบ้านที่วิลาศเช่าอยู่นั้นถูกทิ้งร้าง โดยไม่มีร่องรอยของเขาหลงเหลืออยู่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน และแม้จะมีการค้นหา ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ ยกเว้นเพียงรอยมือขนาดใหญ่ที่ยังคงปรากฏอยู่บนกระจกหน้าต่าง
ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่วิลาศพักอาศัยอยู่เริ่มพูดถึงการหายตัวไปของเขาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ หลายคนเชื่อว่าการหายตัวไปของวิลาศนั้นเกี่ยวข้องกับตำนานลึกลับของหมู่บ้านที่เล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน
ในอดีต หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่มีการทำพิธีกรรมลึกลับ โดยเฉพาะในคืนที่ไร้แสงจันทร์และแสงดาว ชาวบ้านเชื่อว่าในคืนเช่นนี้ มิติระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณจะบางลงจนทำให้วิญญาณที่ถูกกักขังในโลกอื่นสามารถแทรกผ่านมายังโลกของเราได้ การหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้คนหลายรายตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นในคืนที่ไร้แสงดาวเช่นนี้ และวิลาศดูเหมือนจะเป็นเหยื่อรายล่าสุด
หนึ่งในชาวบ้านผู้สูงอายุชื่อ "ยายจันทร์" เป็นคนที่รู้เรื่องราวของตำนานนี้ดีที่สุด เธอเคยเตือนนักท่องเที่ยวและผู้ที่ผ่านเข้ามาให้หลีกเลี่ยงการอยู่กลางทุ่งนาหรือใกล้ป่าในคืนที่ไร้แสงดาว ทว่าคำเตือนของเธอมักถูกมองข้ามและเข้าใจว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่ต้องการขู่ให้คนอยู่แต่ในบ้าน
หลังการหายตัวไปของวิลาศ ยายจันทร์เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ ราวกับมีสิ่งชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้หมู่บ้านอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจไปหาหลานชายของเธอ "เพชร" ซึ่งเป็นคนหนุ่มที่เคยได้ยินตำนานนี้มาตั้งแต่เด็ก แม้เพชรจะไม่เชื่อเรื่องราวเหนือธรรมชาติ แต่เมื่อยายจันทร์บอกว่ามีความเป็นไปได้ว่าวิลาศอาจถูกดึงไปสู่โลกวิญญาณ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
"ถ้าเราไม่รีบทำอะไร คนอื่น ๆ อาจจะหายตัวไปอีก" ยายจันทร์บอกเพชรด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ขณะที่นั่งอยู่ในบ้านเก่าหลังเล็ก ๆ ของเธอ ใบหน้าของยายจันทร์ซีดเซียวราวกับมีบางสิ่งกำลังตามหลอกหลอนในจิตใจของเธอ
"แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ยาย? นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปตามหาคนในโลกวิญญาณได้นะ!" เพชรตอบกลับด้วยความไม่เชื่อ แต่แววตาของเขาบ่งบอกว่าเริ่มมีความกลัวบางอย่างแทรกเข้ามา
"มีวิธีเดียวเท่านั้น" ยายจันทร์พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น "เราต้องไปที่ศาลเจ้าร้างในป่า และทำพิธีเรียกวิญญาณ"
ศาลเจ้าร้างที่ยายจันทร์พูดถึงนั้นเป็นสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างมานานนับสิบปี ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าห่างจากหมู่บ้านหลายกิโลเมตร ศาลเจ้านี้เคยเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านทำพิธีกรรมเพื่อปกป้องหมู่บ้านจากวิญญาณร้าย แต่เมื่อชาวบ้านเริ่มละเลยและหันไปหาความเจริญสมัยใหม่ ศาลเจ้าก็ถูกลืมเลือนไป
เพชรรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินแผนของยาย แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น หากมีโอกาสที่จะช่วยวิลาศได้ เขาก็ต้องลองทำดู ทั้งคู่เตรียมตัวออกเดินทางในเช้าวันถัดมา โดยไม่บอกใครในหมู่บ้าน เพราะกลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายหากข่าวลือเรื่องวิญญาณร้ายแพร่กระจายออกไป
ระหว่างทางไปยังศาลเจ้า ป่าดูเงียบสงัดผิดปกติ เสียงนกร้องที่เคยได้ยินอยู่เป็นประจำก็หายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ วิวทิวทัศน์รอบข้างกลับดูมืดครึ้ม ราวกับแสงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยพลังบางอย่าง
เมื่อมาถึงศาลเจ้า เพชรและยายจันทร์ต้องเจอกับบรรยากาศที่น่าขนลุก ศาลเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์และต้นไม้ขึ้นรกทึบ ทว่าบรรยากาศรอบ ๆ ศาลกลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
"เอาล่ะ หลานเอ๋ย เราจะเริ่มพิธีเดี๋ยวนี้แหละ" ยายจันทร์พูดพร้อมกับหยิบธูปและเทียนออกมา
พิธีกรรมเริ่มต้นขึ้น ยายจันทร์กล่าวคำสวดมนต์โบราณที่เคยใช้ในการเรียกและสื่อสารกับวิญญาณ เสียงของเธอดังก้องไปทั่วป่า ขณะที่เพชรยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความตึงเครียด จู่ ๆ ลมแรงพัดผ่านศาลเจ้าอย่างแรง ราวกับมีบางสิ่งกำลังตอบรับการเรียกของยายจันทร์
ทันใดนั้นเอง เงาดำคล้ายมนุษย์ก็ปรากฏขึ้นตรงกลางศาลเจ้า เพชรเห็นมันลอยอยู่เหนือพื้น ร่างนั้นไม่มีใบหน้า ไม่มีแววตา แต่เขารู้ได้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของวิลาศ
"เราต้องการพาเขากลับมา!" ยายจันทร์ตะโกนสื่อสารกับวิญญาณร้าย ขณะที่เงาดำนั้นเคลื่อนไหวเข้าใกล้พวกเขา มันไม่ได้ตอบกลับเป็นคำพูด แต่มันส่งความรู้สึกหนาวเย็นที่คืบคลานไปทั่วร่างกายของพวกเขา
ขณะที่เพชรกำลังรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่พยายามจะดึงเขาเข้าไปในเงามืด ยายจันทร์หยิบผ้าขาวออกมาแล้วโยนไปที่เงานั้น พร้อมกับกล่าวคำสวดที่หนักแน่น เงาดำเริ่มบิดเบี้ยวและค่อย ๆ หายไปในอากาศ ราวกับถูกดูดกลืนเข้าสู่ความว่างเปล่า
หลังจากเงาดำนั้นหายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ ยายจันทร์ล้มตัวลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ขณะที่เพชรมองไปรอบ ๆ ศาลเจ้า ทว่ากลับไม่พบร่องรอยของวิลาศ หรือวิญญาณใด ๆ ที่จะพาเขากลับมา
ทั้งคู่เดินกลับหมู่บ้านด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ยายจันทร์บอกเพชรว่า แม้เงามืดจะถูกกำจัดไป แต่ไม่มีใครสามารถนำวิลาศกลับมาได้ "เขาติดอยู่ในโลกที่ไม่ใช่ของเรา" ยายจันทร์กล่าวอย่างเศร้าใจ
คืนต่อมา หมู่บ้านกลับมาสงบสุขอีกครั้ง แต่สำหรับเพชรและยายจันทร์ ตำนานลึกลับที่พวกเขาเพิ่งเผชิญหน้านั้นจะติดตามพวกเขาไปตลอดชีวิต