หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

กลิ่นกะแยงแทงใจ

เนื้อหาโดย ธีรยุทธ บุษบงค์

….หอมดอกผักกะแยง  ยามฟ้าแดงค่ำลงมา…..

        เสียงเพลง อีสานบ้านเฮา ประพันธ์โดย ครูพงษ์ศักดิ์  จันทรุกขา ปราชญ์ชาวศรีเมืองใหม่  ใกล้ฝั่งโขง ในเขตปกครองจังหวัดอุบลราชธานี  (แต่ต้นเค้าเพลง  “ทิดแปง”  คนยางชุมน้อยบ้านข้าน้อยเคยเปิดใจให้ฟังว่า  เป็นคนคิดมาก่อน  และให้ เทพพร  เพชรอุบลไปใช้งานเมื่อครั้งรู้จักกันตอนไปร้องเพลงที่ยางชุม  สมัยเกือบหลายสิบปีก่อนโน้น  เท็จจริงประการใด  ต้องไปถาม ครูเทพพร และครูพงษ์ศักดิ์อีกที   แต่ข้าน้อยว่า ไม่ต้องถามดอก เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเป็นความกันเปล่า เพราะงานศิลปะ หรืองานพ้องความคิดแบบนี้  อาจไม่ใช่ใครลอกใคร  แต่เพราะธรรมชาติได้สร้างสมไว้  ให้คนเราได้ซึมซับ  แล้วแต่ใครมีโอกาส แสดงออกสู่สาธารณชนก่อน   เหมือนดังพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธรรมะมีอยู่แล้วในโลก  เพียงแต่พระองค์เห็นรู้ และนำมาบอกให้คนที่ไม่เห็นไม่รู้ได้รู้เห็นกัน)

        ในนาข้าว  ผักกะแยงจะขึ้นทั้งในงานนาที่น้ำไม่ลึกนัก  ตามคูคันนาก็มี  ยามเก็บเกี่ยวข้าว  เดินตามคันนา  ก็จะเห็นดอกสีม่วง  ยามค่ำแลง  ลมพัดเอื่อย ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็โชยมาต้อยจมูก  เป็นกลิ่นหอมที่ไม่มีในสูตรน้ำหอมใด ๆ ในโลก (เว้นแต่ว่าจะมีใครได้แรงบันดาลใจแล้วไปคิดค้นเป็นน้ำหอมกลิ่นผักกะแยงทีหลัง)

        ผักกะแยง เป็นผักกินสดก็ดี  กินกับก้อยกุ้ง  ส้มตำ  หรือ เป็นเครื่องเทศ  ใส่แกงปลา  ต้มปลา หรือห่อหมกปลาซิว  ปลาเล็กปลาน้อย หรือปลาอื่น ๆ   ทางผู้ไทยนครพนมก็ใส่ในหมกหน่อไม้ป่าสด  กลิ่นหอมของมันชวนให้น้ำลายสอ  ชวนให้คิดถึงบ้านเแดนอีสานเฮา

        ไทอีสาน-ลาวอีกฝั่ง  ที่ไปอยู่ห่างไกลบ้านในกรอบกรงกรุงเทพฯเมืองใหญ่  หรือแม้ในปารีส-ฝรั่งเศส  หรือที่ไหน ๆในโลก ได้กลิ่นผักกะแยงก็รู้ได้ทันที  คึดฮอดบ้านทันที (เคยได้ยิน ผอ. ที่โรงเรียนเล่าเรื่องอาหารพื้นบ้านเมื่อครั้งท่านไปเยี่ยมญาติที่ปารีสสู่ฟัง  แม้แต่กระถินต้นเดียว ก็เป็นเงินเป็นทอง  ลูกสั่งให้แม่ส่งเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้านไปให้ โดยเลาะปกเสื้อกันหนาวออก ยัดเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้านใส่แล้วเย็บคืนดังเดิม  ส่งไปผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานเพราะตรวจไม่เจอ  พอถึงมือลูกก็จึงหว่านปลูกแต่ขึ้นเพียงต้นเดียวคือ กระถิน  คนลาว คนไท คนเขมร เวียดนามที่นั่นต้องมาจองคิวซื้อกัน  ทำเงินให้เจ้าของอย่างน่าอัศจรรย์ใจ)

        เพลงเกี่ยวกับผักกะแยงนี้ก็ขายดีไม่แพ้กัน  อย่างเพลง “ส่งฮักส่งแฮง” ที่ครูสลา คุณวุฒิ แต่งให้ศิริพร อำไพพงษ์ร้องในชุดปริญญาใจ  ก็ดังขายดิบขายดี  มนต์เสน่ห์พื้นบ้านนี้สะกดใจคนได้จริง ๆ

        “หอมผักกะแยง…ผู้ใด๋หนอแกงหน่อไม้  กลิ่นหอมลอยมาซูนใจ ให้คึดฮอดอ้ายคนนั้น….”

        อานุภาพของกลิ่นผักกะแยง  ยังลอยวน  เป็นสื่อฮักในบทเพลงอีสาน  ถ้าจะสำรวจก็คงมีอีกหลายเพลง  ทั้งกลอนลำ  ทั้งเพลงลูกทุ่ง  

        พูดถึงเพลงลูกทุ่งยุคนี้  ชักจะเหือดกลิ่นผักกะแยงไปเสียแล้ว  เพราะแม้จะเอาผักกะแยงมาใส่ในเพลงก็ยังมิวายไปเป็นแค่ส่วนประกอบของวัฒนธรรมบริโภคแบบปล่อยตัวปล่อยใจไร้จุดหมายที่เป็นแก่นสารแห่งชีวิต  เช่นความดีงาม  การเข้าถึงสัจธรรม หรือนิพพาน  ที่พูดนี้เป็นมุมมองของคนที่เพียงแค่รู้จักชีวิตบ้างนิดหน่อย  แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆที่จะบอกว่า  เพลงลูกทุ่งทุกวันนี้เป็นแค่เครื่องมือของบริษัทให้บริการโทรศัพท์ติดตามตัวและค่ายเทปเกือบจะสิ้นเชิงก็ว่าได้  ไล่เรียงดูสิ  เพลงดังที่เปิดกันไม่หยุดหายใจทั้งในทีวี  วิทยุทั้งส่วนกลาง  ทั้งชุมชนน้อย  ชุมชนปานกลาง  หรือชุมชนใหญ่  ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวสองคนบนคลื่นมือถือ  ที่บางครั้งก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า  หนุ่มสาวเหล่านี้คงลอยตัวอยู่กลางอากาศใช่ไหม  รากเหง้าท้องทุ่งผักกะแยงแกงหน่อไม้ เป็นแค่การกล่าวอ้างเพื่อให้คงความเป็นลูกทุ่งแค่นั้นหรือเปล่า

        นักแต่งบางคน  บางกลุ่มก็บอกว่าก็นี่แหละคือยุคสมัย  ถ้าไม่แต่งอย่างนี้จะมีใครฟังหรือ  จะให้แต่งแบบอยู่ทุ่งดูดอกกะยอม  ดอกจาน  ดอกติ้ว  อย่างเก่าแล้วมันจะขายเพลงได้หรือ  ทีแรกผมก็คล้อยตาม  เพราะคิดว่าวรรณกรรมก็ย่อมตอบสนอง หรือสะท้อนภาพสังคม  แต่พอคิดดูดี ๆ  มันไม่ใช่  มันแค่คำอ้างมากกว่า  ศิลปะของบทเพลงลูกทุ่งหายไปไหนหมด  มันไม่ใช่แค่เพลงโปรโมทแค่นั้นหรอกที่ต้องทำให้ดัง  ให้เด่น  ให้ขายได้  มันกลับรวมเอาเพลงอื่น ๆด้วยทั้งหมดอัลบั้ม  ไม่เหลือพื้นที่ให้เพลงดีมีน้ำเนื้อแห่งงานศิลป์  เพราะมันพลอยถูกทำให้เด่น ให้ขายได้ ให้หลุดลอยไปจากรากเหง้าศิลปะบทเพลงไปด้วย  เมื่อคิดกันเช่นนั้น  ทำไมละ  พฤติกรรมเลียนแบบกันนำเพลงผ่านสมัยที่เรียกกันว่า “อมตะลูกทุ่ง”  กลับยังสะเออะปล้นบรรยากาศเพลงเดิมมารีมิกซ์กันขายเอาขายเอาตั้งไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้าน  อย่างนี้ยังจะบอกว่าเพลงดีมีศิลปะอยู่ไม่ได้อีกหรือแบบนี้  แล้วที่ว่าเพลงถ้าเนื้อหาตกสมัยแล้ว(ไม่ใช้มือถือเป็นสื่อเป็นจุดขาย)จะขายไม่ได้เห็นจะไม่จริง  ใช่ไหม?   ก็  “ไร่อ้อยคอยรัก”  “รอรักใต้ต้นกระโดน”  ..... เอามาอัดขายได้อย่างไร  อยากรู้จัง  อย่าคิดแค่ขายได้ไหม  เพลงเอ๋ย  คิดทำงานศิลปะสำหรับหูสู่สติปัญญาอีกสักยกจะดีไหม  ท่านเอย

ศิลปะบทเพลงสำหรับฟังในทรรศนะของข้าน้อย  หมายถึง  เพลงเนื้อหาดีมีส่วนประกอบของเรื่องราว  ฉากบรรยากาศ  และความสมจริงทางเนื้อหาภาษาที่สอดร้อยกัน ที่สำคัญต้องสอดร้อยกับดนตรีที่ไม่ต้องมากชิ้นจนแน่นเอี๊ยด  กระเดียดไปทางโอ้อวด   เพลงดีจึงไม่ใช่แค่ขายคำเท่  เทขายสำนวนติดหู  ผสมดนตรีพื้นบ้านกับสากลแบบลวกจิ้ม  แบบชวนหลงใหลแต่ไร้รสนิยมทางปัญญาเทือกนั้น  ไอ้นี่ไม่ได้ว่าใคร  ว่าค่ายใด  นะขอรับ     

อันนี้คงต้องโทษโครงสร้างเพลงปัจจุบันด้วย  ที่ตั้งโจทย์ตามผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมากอย่าง  คนทุ่งไกลถิ่นคิดถึงบ้านมุงานที่เมืองใหญ่  หรือพูดง่าย ๆก็บ้านนอกเข้ากรุงที่มีงานทำ  หาเงินได้  พอที่จะเจียดซื้อซีดีเพลงได้  พอโครงสร้างเพลงเป็นเช่นว่า  ตัวละครก็ถูกกำหนดให้อยู่แต่ในเมืองใหญ่  เป็นลูกจ้าง  ขายแรงงาน  นักแต่งจึงแข่งกันเค้น  จับสั่นหาเรื่องราวมาเล่าอย่างบาง ๆ  บอกแต่เพียงท้อให้สู้ต่อ  เป็นแรงใจให้กัน  เหนื่อยหนักก็กลับไปพักที่บ้าน(ทุ่ง)  เห็นบ้านเกิดบ้านเก่าเป็นโรงแรม สถานที่ตากอากาศไปแต่เมื่อไหร่หนอ  คนบ้านเฮาหนอ

        เพลงอย่างว่า คงยังเป็นกระบอกเสียงของคนทุ่งคนนาจริงหรือหลอกกันแน่แล้ว  พี่น้องเอย 

        โครงสร้างเพลงคนทุ่ง  อยู่ทุ่ง  รักทุ่ง  สร้างสรรค์บ้านทุ่ง  วอนคนเข้ากรุง  เข้าเมืองให้มาช่วยกันสร้างบ้านแปลงเมืองอย่างเก่า  ไม่มีใครสืบสานต่อแล้วกระมัง  เห็นมีก็เพลงศร  สินชัย  “ไอ้หนุ่มชุมชน”  “หัวหน้าผู้บ่าวแนว” นั่นและที่นับว่าพอหลงเหลืออยู่  หรืออย่าง  “จดหมายถึงอ้อย” ที่พรศักดิ์ร้องบอกเรื่องราวบ่าวอุบลคนเก่ารอสาวอ้อยคืนบ้าน  ที่เพิ่งบันทึก(ไม่รู้เป็นครั้งแรกหรือเปล่า) และอัดมาขายเมื่อปี สองพันห้าร้อยสี่สิบกว่า ๆนี้  ก็ยังน่าฟังอยู่  โครงสร้างเพลงคนอยู่ทุ่งแบบนี้ไม่น่าจะล้าสมัย  หรือตกยุค  หรือแม้แต่เพลงบรรยายฉากงาม ๆ ของท้องนาป่าละเมาะก็คงคู่สมัยได้กระมัง  เพลงทุ่งงาม ๆแบบนี้แม้จะขายยากอย่างที่เขาว่า  แต่ข้าน้อยว่า  มันจะสื่ออะไรที่เงินมากแค่ไหนก็ซื้อสื่อไม่ได้ได้เป็นอย่างดี  และเป็นเพลงของคนทุ่ง ๆ  จริง ๆ  ที่ควรค่าแก่การสดับอย่างแท้จริง

        ทีแย่ไปกว่านั้นก็คือเพลงที่เน้น  “ทางเลือก”  ประเภท  “ผิดลูก ผิดผัว ผิดเมีย”  แบบไร้ศิลปะ  เป็นแบบดิบ เถื่อน (ไร้ที่มาที่ไป  หาเหตุที่จะสนับสนุนไม่ไหว เน้นหนุกหนานสถานเดียว) เน้นแปลก เพื่อปรนเปรอรสนิยมหยาบร้าย  ทำลายครรลองปู่ย่าตายาย  ฟังแล้วเสียดายหู  เสียดายพลังงานโลกฉิบ! 

        โอ้...  ข้าน้อย  เริ่มด้วยผักกะแยง  “มาส่าง” เลยทุ่งเลยท่าไปไกลป่านนั้น   เอ้า! กลับมาว่าเพลงว่าเรื่องผักเรื่องหญ้ากันต่อดีกว่า

        หากมองอีกแบบ  “ผักกะแยง” ก็ดี  “ดอกมันปา”  หรือพืชพรรณแห่งท้องทุ่งอื่น ๆ  ก็ดี ต่างก็คือสัญลักษณ์แห่งการมีชีวิตอยู่ของคนทุ่งที่เป็นลูกเป็นหลาน  เป็นเชื้อเป็นแนวของธรรมชาติ  อยู่ได้  เจริญได้  ดำรงเผ่าพันธุ์ได้ก็ด้วยธรรมชาติเลี้ยงดูอุ้มชูมา แม่นบ่  คนเก่าคนแก่จึงมีพิธีกรรม  ขอขมาธรรมชาติก่อนลงมือทำอะไร  เช่นจะลงนาก็ต้องบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางนางน้อยธรณี   ต้องแฮกนาขวัญ  ต้องเลี้ยงปู่ตาก่อน    หรือทำอะไรเสร็จก็ต้องขอบพระคุณ  เช่น ทำบุญกุ้มข้าว  บุญข้าวจี่  เป็นต้นวิถีทุ่ง  เพลงลูกทุ่งอย่างแต่ก่อน  จึงมีมาเพื่อรับใช้ปรัชญาดังกล่าว  ปัญหาโลกร้อนที่กำลังประโคมข่าวไม่เว้นวรรคเว้นวันนี้  น่าจะได้รับการเยียวยาได้อย่างไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาเลย  หากการ “สืบฮอยตาวาฮอยปู่” แบบวิถีรักกันจริงเอื้ออิงธรรมชาติ  ยังคงดำรงต่อเนื่องมาได้  แต่เมื่อมันขาดท่อนขาดตอนไปแล้ว  คนแอบอิงวัตถุเงินคำกำแก้ว(เลือดย้อยเป็นทางเข้าธนาคาร/เข้าร้านทอง/ร้านบัตรเครดิตกันเป็นกิจวัตร)  คนจะรักกันจึงต้องพึ่งรถ พึ่งเสียงผ่านคลื่นนักธุรกิจหัวใสเหลื่อมกันเกือบหมดบ้านเต็มเมือง  นัยว่าจำเป๊น จำเป็นขนาดเด้อเจ้าข้าเอย

        มากกว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว  ก็อาจมองได้ว่า  “ผักกะแยง”  คือตัวแทนความจริงที่เกิดจากดิน  จากความฮักหอมของแม่พระธรณี  ไม่มีพิษมีภัย  เป็นผู้ให้ในครรลองศีลธรรม  นำแสงทองส่องนำทางมวลชีวิต  ต่างจากวัตถุจัดตั้งที่ยกค่าเกินจริงเกินตัว  ด้วยมือนักการตลาดที่ขาดราก  (เพราะไม่ได้เป็นคนทุ่งโดยกำเนิด/ไม่รู้จักผักกะแยงอย่างแท้จริง)  ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ  ธุรกิจที่เห็นแก่ผลกำไร(เพียงแค่เงิน/ตำแหน่งการงาน/อำนาจการเมือง...)

        แต่อย่างว่านั่นแหละ คนทำเพลงก็หารายได้เลี้ยงปากท้อง  บางทีเป็น “บักหอยลอยตามคราด”  อาจอยู่ได้ยาวกว่า   ไอ้เรื่องอุดมคติบ้าบอที่ข้าน้อยบ่นไป  มันคงไม่สลักสำคัญแต่อย่างใดดอกท่านเอย 

        ก็ไม่รู้จะบ่นไปทำไม  โลกก็เป็นอย่างนี้  เพลงมันจะดี  จะเลว จะเด่นดังอย่างไร  มันก็แค่เพลง  แค่สื่อบันเทิง  ไม่ใช่สารคดีวิชาการปรัชญาสักหน่อย  ก็คนมันติดกันแล้ว  จะให้เลิกให้ละ  คงยาก  อยากฟังเพลงดี ๆ  ก็คงต้องไปหยิบใบลานมาอ่านนิทานทำนองแหล่บุญเผวส  ท่อนั่นแหล่ว....

เนื้อหาโดย: ธีรยุทธ บุษบงค์
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เลขเด็ด เลขมาแรง เลขดัง "รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.11" งวดวันที่ 2 มกราคม 2568
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
น้องเต้าหู้แจกไข่ให้ชาวบ้าน แต่กลับเจอมนุษย์ป้ารุมเข้ามาจัดการ ทำเอาน้องอึ้งจนพูดไม่ออก เห็นแล้วรู้สึกอายแทนจริงๆน้ำใจยิ่งใหญ่! หนุ่มไร้เงินขอติดรถกลับบ้าน เจอผู้ให้เต็มคันสุดอบอุ่น
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
วิธีล้างผักให้สะอาดปราศจากสารพิษตกค้างจริงไหมที่คำว่า ‘Salary’ มาจาก ‘Salt’ เพราะทหารโรมันรับค่าจ้างเป็นเกลือ?อยากโกอินเตอร์? เจาะลึกวิธีหางานต่างประเทศ 2567 แบบถูกกฎหมาย ได้สิทธิเต็มที่ ไม่มีโดนหลอก!ชาวต่างด้าวข้ามฝั่งมาคลอดฟรี คนไทยเสียงแตก งานนี้ใครได้ ใครเสีย
ตั้งกระทู้ใหม่