ความผันแปร และการเดินทางของจิต...
ชีวิตมันผลักให้เรามีความดีใจ เสียใจอยู่เสมอ หลายคนเคยนั่งดูอารมณ์ตัวเอง บางครั้งเกิดความดีใจขึ้นมา กำลังจะกระโดดโลดเต้น ทว่า มองไปซักพัก จึงพบว่า มันหายไปไหนแล้ว เช่นเดียวกับความทุกข์ที่เรากำลังจะร้องไห้ ไม่ทันน้ำตาไหล มันก็หายไปอีก
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำซากในชีวิตของผู้เฝ้าสังเกต เหมือนภาพยนต์ที่มีพล็อตเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่มีมุกใหม่ๆ มาให้ตื่นตาตื่นใจ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ ทุกอย่างตั้งอยู่บนสัจธรรมที่ว่าด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
เมื่อไม่มี ก็เปลี่ยนเป็นมี แล้วก็ไม่มีอีกครั้ง วนเวียนเป็นวงจรเช่นนี้ไม่รู้จบ จบชาตินี้ ไปต่อชาติหน้า แล้วก็วนไปอีกร้อยชาติ พันชาติ ล้านชาติ มันคือการเดินทางอันยาวนาน ที่หอบหิ้วเอาความอ่อนล้า และเหน็บหนาวไปด้วยตลอดการเดินทาง เคยรักมาเท่าไหร่ เคยเสียใจมากี่หน เคยมีผู้คนที่รัก เกลียดนับไม่ถ้วน
เช่นนี้กระมั่งพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรามองกาลไกล มองให้ทะลุทะลวงถึงภพชาติที่นับอนันต์ไม่ได้ แต่เจ้ากรรมผู้คนก็ไม่อาจเข้าถึงความหมายของการมีอยู่ในห้วงทุกข์อันเป็นนิรันดร์ ด้วยเหตุที่เราเป็นคนความจำสั้น
เกิดมาชาตินี้ก็ไม่อาจจดจำสิ่งที่เคยผ่านมาในอดีตชาติ จึงทำให้หลงนึกว่า เรายังไม่เคยร่ำรวย ก็อยากรวย เรายังไม่เคยสมหวังในรักก็อยากมีความรัก เรายังไม่เคยใช้ชีวิตก็อยากใช้ชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า เราได้เป็นมาทุกอย่าง เคยดำเนินชีวิตมาทุกรูปแบบระหว่างที่เดินทางในห้วงแห่งวัฏฏะ ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปด้วยแรงกรรมที่ถูกบันทึกด้วยจิต เปลี่ยนจากผู้ชายไปเป็นผู้หญิง จากผู้หญิงไปเป็นผู้ชาย เป็นเทวดา พรหม ภูต เปรต สัตว์เดรัจฉาน และสัตว์นรก วนมาสู่ภพภูมิมนุษย์ รอวันแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยแห่งกรรมบันดาล ดุจดังเปลวไฟแห่งแสงเทียน ที่ถูกจุดกันเป็นทอดๆ ตัวเทียนนั้นถูกเปลี่ยนไป ร่างกายภายนอกเปลี่ยนแปลง ทว่า ไฟที่เกิดขึ้น ก็สืบสายมาจากดวงเดิม จะว่าดวงเดียวกันก็ไม่ใช่ คนละดวงก็ไม่เชิง เป็นจิตดวงเดียวกันที่ไม่ใช่ดวงเดียวกัน การเดินทางนี้ช่างยาวไกล
ไม่มีจุดเริ่ม จุดปลาย ไหลเรื่อยไป
หากนับเวลาแล้วคงยาวนานยิ่งกว่า...
มหาสมุทรระเหยตัวจนไม่เหลือหยดน้ำแม้เพียงหยดเดียว...