เรื่องสั้นหลอนหักมุม ตอน ต้นไม้มนุษย์
ต้นไม้มนุษย์
บนโลกกลมๆ สีฟ้าใบนี้คุณคิดว่ามนุษย์อย่างเราไปค้นหาหรือเรียนรู้ทุกสิ่งมาหมดแล้วหรือยัง ส่วนตัวผมคิดว่ายังไม่หมด เพราะมีอีกหลายอย่างที่มนุษย์ยังไม่ค้นพบ ยิ่งเป็นสิ่งแปลกๆ อย่างพืชสายพันธุ์ใหม่หรือสัตว์แปลกๆ ที่เรายังไม่รู้จักใต้ทะเลลึกหรือในป่าอีกมาก และคนที่ค้นพบสิ่งเหล่านั้นก็จะสามารถอ้างสิทธิ์ในการตั้งชื่อ และถ้าสิ่งนั้นมันแปลกประหลาดคนที่ค้นพบก็จะยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง จึงมีคนมากมายตามออกค้นหาสิ่งแปลกๆ อย่างสัตว์ในตำนานสึชิโนะโกะที่ผมก็เป็นคนนึงที่ออกตามล่ามัน เมื่อมีข่าวคนพบเห็นมันตามที่ต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น แต่ผมก็ไม่เคยเจอ จนสุดท้ายผมก็ตัดใจและมุ่งหน้าเดินทางหาสิ่งแปลกๆ ตามป่าลึกแทน แต่ไม่ว่าจะตามหาเท่าไหร่มันก็ไม่เจอสิ่งแปลกๆ ที่ต้องการ จนวันนึงผมก็ทิ้งความฝันนั้นและมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานเหมือนคนทั่วไป ซึ่งเมื่อมีโอกาสหรือมีข่าวลือว่ามีคนเจอตัวประหลาดหรือสิ่งแปลกๆ อย่าง UFO หรือเท็งงุ กัปปะ หรืออะไรก็ตามผมจะไม่รอช้ารีบลางานไปตามล่าทันที ซึ่งอย่างที่เห็น โอตาคุบ้าเรื่องลึกลับอย่างผมจะมีคนมาสนใจ แต่สุดท้ายผมก็ได้เจอกับมิสุจังเด็กสาวบ้านนอกที่มาทำงานในเมือง ที่ความรักของผมก็เริ่มจากความบ้าเรื่องลึกลับที่ไปเตะตามิสุจังเข้า จนทำให้เราสองคนได้สนิทกันและมักจะออกไปตามดูเรื่องลึกลับด้วยกันเสมอ
“จะว่าไปเรื่องลึกลับที่คาชิยะคุงชอบนี่มันรวมถึงเรื่องต้นไม้ด้วยรึเปล่า อย่างพวกต้นไม้แปลกๆ อะไรแบบนั้น” ระหว่างที่เรากำลังทานราเม็งที่ร้านเจ้าประจำมิสุจังก็พูดขึ้นมา “อืม ต้นไม้แปลกๆ หรอ เท่าที่พอจะรู้เรื่องราวของต้นไม้แปลกๆ ไม่ค่อยจะมีเรื่องที่น่าสนใจเท่าไหร่ เท่าที่จำได้ก็มีพวกนางไม้ที่เป็นความเชื่อของทางประเทศไทย กับเรื่องมักกะลีผลที่ต้นไม้จะออกลูกเป็นคนตัวเล็กๆ แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้น เพราะมีคนไปพิสูจน์มาแล้ว” ผมที่เป็นกึ่งๆ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้บอกกับมิสุจัง “งั้นหรอ” มิสุจังบ่นออกมาเบาๆ “งั้นสิ่งนี้ก็คงจะไม่ใช่ของจริงซินะ” มิสุจังเอาตุ๊กตาไม้ที่เป็นรูปของหญิงสาวสภาพแห้งสีน้ำตาลมาให้ผมดู “คุณปู่บอกชั้นว่านี่คือต้นไม้ที่ออกลูกเป็นมนุษย์ท่านไปเจอในป่า คุณปู่เล่าว่าท่านเห็นพวกผู้หญิงเหล่านี้กำลังเต้นรำใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ ก่อนที่พวกผู้หญิงตัวเล็กเหล่านั้นล้มลงและตาย คุณปู่ที่แอบดูก็เลยขโมยมาได้หลายตัว แต่พอเอาไปให้ชาวบ้านดูก็ไม่มีใครเชื่อ จนเมื่อเดือนก่อนชั้นกลับไปหาท่านคุณปู่เลยเล่าเรื่องนี้ให้ชั้นฟังพร้อมกับให้ตุ๊กตานี้มา พอดีเห็นคาชิยะคุงชอบเรื่องแบบนี้เลยเอามาให้ดู” มิสุจังพูดเบาๆ เพราะเธอกลัวว่าผมจะไม่ชอบจนหาว่าเธอเพ้อเจอ แต่ตรงข้ามผมกลับสนใจตุ๊กตานี้มากๆ คงเพราะเซ้นส์ในตัวบอกแบบนั้น
“น่าสนใจมากๆ ผมจะลองเอาไปตรวจสอบดูนะ” มิสุจังยิ้มฟันขาวเมื่อผมชอบในสิ่งที่เธอหามา โดยหลังเลิกงานผมก็เอาตุ๊กตานี้ไปให้เพื่อนที่เป็นหมอช่วยเอ็กซเรย์ตุ๊กตานี้หน่อยว่าคืออะไร ซึ่งเมื่อเอาตุ๊กตานี้ไปเอ็กซเรย์ทุกคนก็ต้องแปลกใจ ที่ภายในตุ๊กตาไม้นั้นมีกระดูกและอวัยวะเครื่องในเหมือนคนแต่ภายในนั้นคือไม้ จนเพื่อนที่เป็นหมอยังแปลกใจจนทำให้ผมคิดถึงตุ๊กตายาง ที่ภายในของตุ๊กตายางรุ่นใหม่ๆ จะมีเครื่องในเหมือนคน ไม่แน่สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่คนโบราณทำขึ้นมาก็ได้ แต่อย่างที่บอกว่าเซ้นส์ในตัวผมมันบอกว่านี่คือเรื่องจริง ผมจึงไปหามิสุจังเพื่อจะเดินทางไปหาคุณปู่ของมิสุจังที่บ้านเกิดของเธอซึ่งที่นี่เรียกว่าบ้านนอกแท้ๆ ที่แม้แต่ร้านค้ายังเป็นร้านขายของเล็กๆ และชาวบ้านก็อยู่แบบชาวสวนที่ไม่มีความเจริญเหมือนในตัวเมือง
“นั่นมิสุจังนี่นา” เมื่อเราลงจากรถประจำทางก็มีชายหนุ่มกล้ามโตท่าทางนักเลงมาทักทายมิสุจัง “ไงโกดะคุงไม่ได้เจอกันนาน” มิสุจังยิ้มทักทาย “นานที่ไหนเมื่อเดือนก่อนนี้เอง แล้วนี่มาทำไมหรอหรือว่าเปลี่ยนใจจะมาใช้ชีวิตที่นี่ บอกแล้วว่าในเมืองกรุงมันไม่น่าอยู่เท่าที่บ้านเรา” โกดะคุงพูดจบเขาก็หันมาทางผม “นี่เพื่อนหรอ” โกดะคุงถามมิสุจัง “อ๋อนี่แฟนเราเองชื่อคาชิยะ คาชิยะนี่โกดะคุงเพื่อนสมัยเด็กเรา” วินาทีที่มิสุจังแนะนำนายโกดะผมก็รู้ทันทีว่าหมอนี่ชอบมิสุจังแต่ทางนั้นก็คิดแค่เพื่อน ซึ่งดูหมอนั่นจะไม่ค่อยชอบผม
ที่บ้านของมิสุจังทุกคนน่ารักและเป็นมิตรกับผมมากๆ จนเมื่อเราแนะนำตัวแล้วมิสุจังก็พาผมไปหาคุณปู่ที่นั่งบนรถเข็นแต่ท่าทางยังคงแข็งแรงดูไม่เหมือนคนแก่อายุมากเลย เมื่อเจอท่านคุณปู่ก็เล่าเรื่องของการเจอต้นไม้นั่นกับผมแบบเดียวกับที่มิสุจังเล่า “อย่าไปสนใจเลย ท่านแก่มากแล้วเลยจำอะไรเลอะเลือน” คุณแม่ของมิสุจังบอกผม “มันคือเรื่องจริง มิสุเอ้ยพรุ่งนี้พาคาชิยะไปที่ต้นไม้นั่นเดี๋ยวปู่จะเขียนแผนที่ให้ ถ้าเจอพวกแกก็ช่วยถ่ายวิดีโอมาให้พวกโง่พวกนี้ดูจะได้ตาสว่าง” คุณปู่พูดเสียงดังเป็นเชิงประชดคนในบ้าน เพราะจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเชื่อท่านนอกจากผม
รุ่งขึ้นผมกับมุสุจังจึงเตรียมของเพื่อเดินทางเข้าไปในป่าตามแผนที่ของคุณปู่ โดยที่คนในบ้านต่างก็ไม่เห็นด้วยแต่เมื่อผมยืนยันและคุณปู่ก็ดุทุกคนที่พูดเรื่องนี้ พวกท่านจึงยอมให้ผมไปกับมิสุจังสองคน “สบายใจได้เลยมิสุโตมากับป่าที่นี่ยังไงก็ไม่หลงแน่นอน” มิสุจังบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินเข้าไปในป่า ระหว่างทางเราสองคนก็พูดคุยเรื่องต่างๆ ตามภาษาคู่แฟนที่เหมือนเรามาเที่ยวป่ามากกว่ามาหาเรื่องลึกลับ และด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลเราจึงต้องนอนค้างคืนในป่า จนเช้าเราก็ออกเดินทางต่อซึ่งแผนที่ของคุณปู่บวกกับระบบนำทางแบบดาวเทียมจึงทำให้เรารู้ตำแหน่งที่แน่นอนของต้นไม้นั่น
“คืนนี้พักที่นี่กันเถอะพรุ่งนี้เราค่อยไปดูกัน” ผมบออกกับมิสุจังก่อนจะเข้านอนเมื่อดับไฟ แต่ในระหว่างที่เรากำลังจะหลับก็ได้ยินได้เสียงเพลงดังมาไกลๆ จากในป่า เหมือนที่คุณปู่เล่าให้ฟังทุกอย่าง “เสียงร้องเพลง” มิสุจังพูดกับผมด้วยท่าทางตกใจ เราทั้งคู่จึงถือไฟฉายและไปดูตามเสียง ซึ่งโชคดีที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงเลยเห็นทุกอย่างชัดเจน และสิ่งที่เราเห็นตอนนี้ก็คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหน้าตาคล้ายคนขนาดเท่าผ่ามือตัวสีเขียวอ่อนเรืองแสง กำลังร้องเพลงและเต้นไปมาอยู่รอบโคนต้นไม้ขนาดใหญ่ ขณะที่บนต้นก็มีแบบเดียวกันแต่กำลังหลับตาเหมือนยังไม่พร้อมจะลงมาเต้นกับข้างล่าง ขณะที่ตัวข้างล่างก็กำลังร้องเพลงเป็นภาษาแปลกๆ อย่างสนุกสนาน ก่อนที่ทั้งหมดจะขุดหลุมเท่าขนาดตัวเองแล้วลงไปนอนในนั้นพร้อมแสงไฟที่ดับลง
“เจอจริงๆ ด้วยต้นไม้ที่ออกลูกเป็นคน” ผมที่ตื่นเต้นจนลืมอัดวิดีโอจึงรีบจะไปเอากล้องมาถ่าย แต่เมื่อผมหันหลังกลับไปก็เจอกับโกดะคุงที่ถือท่อนไม้กำลังง้างมือมาฟาดผม แต่ตอนนั้นเองมิสุจังก็ได้มาขว้างเอาไว้จนเธอโดนไม้ตีอย่างแรงจนเธอล้มลง ผมจึงพยุงเธอมานั่งใต้ต้นไม้นั้น ก่อนที่จะรีบวิ่งตามโกดะไปด้วยความโกรธ แต่โกดะมันวิ่งเร็วมากจนผมตามมันไม่ทัน จนเมื่อผมคิดได้จึงรีบมาหามิสุจังที่ต้นไม้นั้น แต่ช้าไปแล้วมิสุจังเสียชีวิตเพราะแรงกระแทก เธอสิ้นใจใต้ต้นไม้นั้นโดยที่ไม่ทันดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ผมก็แจ้งหน่วยกู้ภัยเพื่อรับศพของมิสุจังออกมาจากป่าท่ามกลางความเสียใจของทุกคนในบ้าน ที่ทุกคนต่างคิดว่าผมเป็นคนฆ่ามิสุจัง โดยการใส่ร้ายจากโกดะที่ตำรวจก็ไม่เชื่อที่โกดะพูด เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผมเป็นคนทำ แต่คนในบ้านกลับเชื่อโกดะ จนงานศพของมิสุจังผ่านไปท่ามกลางเสียงก่นด่าของคนในครัวครัวมิสุจังที่เกลียดและสาปแช่งผมที่ทำลูกสาวเธอตายยกเว้นคุณปู่เธอ
และคืนสุดท้ายที่ผมจะไปจากที่นี่ ตอนนั้นเองระหว่างที่ผมนอนอยู่ที่โรงแรมในหมู่บ้านก็มีเสียงเพลงที่ผมเคยได้ยินที่ในป่าดังมาเบาๆ ผมจึงออกไปดูก็พบกับมิสุจังในสภาพเปลือย แต่ตัวเธอนั้นเป็นสีเขียวอ่อนเหมือนต้นไม้พวกนั้น เธอเดินมากอดผม “คาชิยะจังคิดถึงมากๆ เลย” มิสุจังพูดจบร่างของเธอก็เน่าเปื่อยเหมือนผลไม้เน่าในอ้อมกอดผม นั่นคือมิสุจังแน่ๆ ผมรีบเก็บข้าวของเพื่อจะไปหาต้นไม้นั้นเพื่อไปดูให้แน่ใจว่านั่นคือต้นไม้ที่มีวิญญาณมิสุจังอยู่ ผมที่เดินทางแบบไม่พักก็มีท่าทางอิดโรยจนสลบไปในที่สุด “คาชิยคุง” ผมได้ยินเสียงมิสุจังเรียกจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะตรงหน้าผมคือมิสุจังที่คราวนี้เธอมีรูปร่างคล้ายคนมากขึ้นแต่ก็ยังมีสีเขียว “มิสุจัง” ผมกอดเธอด้วยความดีใจ ขณะที่ไกลออกไปก็มีเสียงของโกดะคุงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “ผี ผีหลอก” โกดะที่เห็นมิสุจังก็ร้องด้วยความตกใจจนวิ่งหายไปในป่า โดยที่ผมไม่สนใจหมอนั่นอีกแล้วว่าจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ผมเจอมิสุจังแล้ว “เรากลับบ้านกันเถอะ” ผมบอกมิสุจังแต่เธอสายหน้าด้วยความเศร้าก่อนจะค่อยๆ ละลายเน่าไปต่อหน้าต่อตาผม....
ปัจจุบัน...หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นผมกลับมาทำงานที่ในเมืองอีกครั้ง พร้อมชื่อเสียงในฐานะนักเขียนนิยาย ซึ่งผมก็ปิดเรื่องต้นไม้นี้ไม่ให้ใครรู้นอกจากคุณปู่ที่เสียไปแล้วของมิสุจังเท่านั้น ที่ท่านเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นคนทำและมิสุจังก็ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่โกะดะกลายเป็นคนบ้านับจากวันนั้น
“กลับมาแล้วหรอคะ” เสียงมิสุจังทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสเมื่อเห็นผมเข้ามาในบ้าน “วันนี้มีอะไรกินจ๊ะ” ผมหอมแก้มมิสุจังที่ผิวหนังของเธอมีสีเขียวอ่อนและมีกลิ่นเน่าออกมา “ได้เวลาแล้วละ” ผมบอกมิสุจังพร้อมรอยยิ้ม “หรอคราวนี้อยู่นานเหมือนกันนะกว่าจะเน่า” มิสุจังบอกกับผมด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนที่เธอจะเดินมาละลายที่ใต้โคนต้นไม้ และร่างของมิสุจังในสภาพเปลือยที่งอกอยู่บนต้นไม้จะหล่นลงมาเป็นมิสุจังคนใหม่ ที่มีความทรงจำเดิมจากเมื่อกี้ “กลับมาแล้วจ้า” มิสุจังยิ้มให้ผมที่ยิ้มตอบ ซึ่งใช่คุณคิดถูกผมไปเอาต้นไม้นั่นมาจากในป่าโดยปิดเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้ และในระหว่างที่มิสุจังกำลังสวมเสื้อผ้าก็มีเสียงเด็กร้องออกมาจากอีกห้อง “ลูกตื่นแล้วขอไปดูลูกก่อนนะคะ” มิสุจังที่แต่งตัวเสร็จก็เดินจากไปทิ้งผมทานอาหารอย่างมีความสุขขณะที่มิสุจังอุ้มลูกมาหาผม.....จบ