อสูรทะเลสาบบุสโก้: เต่ายักษ์ ฟอสซิลมีชีวิตที่ยังมีลมหายใจ
ในปี ค.ศ. 1898 ออสการ์ โฟลค์ (Oscar Fulk) ชาวนาเจ้าของที่ดินที่อยู่ในทะเลสาบแถบเมืองโชรูบุสโก้ (Churobusco) ในรัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาจับจองซื้อที่ดินสัมปทานที่รัฐบาลให้ไว้แก่ชาวบ้านเพื่อทำการเกษตร เขาได้ตั้งฟาร์มข้างทะเลสาบเอาไว้ และเขาตั้งชื่อทะเลสาบนี้ตามชื่อนามสกุลของเขา เป็นทะเลสาบโฟลค์ (Fulk Lake) เขาไม่ได้กลับรู้เลยว่า ทะเลสาบแห่งนี้ที่เขามาอยู่สร้างบ้านข้างๆ นั้น อาจจะซ่อนสิ่งมีชีวิตสุดแสนน่ากลัวเอาไว้
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อออสการ์เสียชีวิตไป ที่ดินแห่งนี้ก็เปลี่ยนมือเจ้าของไปนับหลายคน ล่วงมาถึงในปี ค.ศ. 1948, ออร่า บลู (Ora Blue) และ ชาร์ลีย์ วิลสัน (Charley Wilson) สองชาวไร่ออกไปตกปลาที่ทะเลสาบบุสโก้ในตอนเที่ยง ขณะที่ตกปลา พวกเขาเห็นหลังนูนๆ ขนาดใหญ่ที่มีสันหลังหยักๆ เมื่อมองดูมันคือกระดองเต่าขนาดใหญ่ที่มีหนามบนหลัง คาดคะเนจากสายตาคร่าวๆ สิ่งมีชีวิตตัวนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางกระดองถึง 2 เมตร พอๆ กับโต๊ะอาหารในบ้าน ทั้งสองกลัวมากจึงรีบกลับหันเรือขึ้นฝั่งแล้วคุยกับเจ้าของที่คนล่าสุดในปีนั้น เกล แฮริส (Gale Harris) แม้แต่เกลเอง ก็เชื่อในสิ่งที่ทั้งสองพูด เพราะเขาเองก็เคยเห็นเต่าขนาดใหญ่แบบนี้เช่นกัน
หลังจากนั้นมา ก็มีชาวบ้านและชาวไร่ที่ออกมาทำเกษตรหรือตกปลาเล่นที่ทะเลสาบเจอกับเต่ายักษ์ตัวนี้ พวกเขาจะบอกตรงกันว่ามันหนักถึง 90 กิโลกรัมและยาวถึง 2 เมตร อสูรกายแห่งทะเลสาบตัวนี้กลับได้ชื่อว่า "ออสการ์" ตั้งตามเจ้าของที่ดินคนแรกสุด ซึ่งมีบันทึกว่าออสการ์เองก็เคยเห็นเจ้าเต่าตัวนี้ด้วยในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีคนเชื่อมากนัก
สำหรับเจ้าออสการ์ มีคนคาดการณ์ว่ามันคือเต่าอัลลิเกเตอร์สแนปปิ้ง (Alligator Snapping Turtle: Macrochelys temminckii) ซึ่งพบได้กระจายพันธุ์กว้างมากตามแม่น้ำ หนองบึง และทะเลสาบของอเมริกาเหนือ จัดเป็นสายพันธุ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างมาตั้งแต่ 165 ล้านปีมาแล้ว โดยทั่วไปจะยาวได้ถึง 60-75 เซนติเมตร และหนักเพียง 30 กิโลกรัม เต่าชนิดนี้ปกติจะนอนนิ่งๆ ที่ก้นทะเลสาบเพื่อรอปลาว่ายเข้ามา อ้าปากใช้ติ่งลิ้นในปากที่คล้ายไส้เดือนล่อปลามาและกัดกิน แรงกันของเต่าอัลลิเกเตอร์สแนปปิ้งว่ากันว่าแรงถึง 209 นิวตัน เพียงพอจะบดผลไม้เปลือกแข็งหรือกระดูกของมนุษย์ได้ง่ายๆ
กระนั้นเอง การที่มันเติบโตได้ใหญ่ถึง 2 เมตร ก็เป็นเรื่องที่หายากมากๆ คงเป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของทะเลสาบที่มากไปด้วยแหล่งอาหารจำพวกปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ และยังไร้ซึ่งนักล่าอย่างอัลลิเกเตอร์ที่ไม่พบในส่วนนี้ของอเมริกาเหนือ จึงทำให้เจ้าออสการ์อาจจะใหญ่ได้ขนาดนั้น และพวกมันก็อายุยืน โดยอายุยืนได้ถึง 100 ปีเลยทีเดียวถ้าหากไม่ถูกรบกวน แน่นอนว่าหากจับไปให้นักวิจัยได้ เกล แฮริสคงดังพลุแตก เขาจึงระดมพลเกณฑ์ชาวบ้านจำนวนมากมาล้อมแหหวังจะจับเจ้าออสการ์ เขาเกือบจับมันได้ และจากคำบอกเล่านี้ เกลบอกว่ามันอาจจะใหญ่ถึง 2 เมตรจริงๆ แต่น่าเสียดาย มันกลับพยายามจะจมเรือด้วยการรีบดำน้ำลงไปใต้ก้นทะเลสาบ พวกเขาจึงต้องแกะแหให้มันออกไปเพราะมิฉะนั้นอาจจะมีคนจมน้ำเสียชีวิตจำนวนมากได้
ครั้งที่สอง เกลทุ่มทรัพยากรด้วยการพยายามเอาทั้งกับดักคล้ายมองขนาดใหญ่สานจากลวดแข็งแรงแล้วใส่เนื้อสัตว์ที่มันน่าจะชอบลงไป ครั้งนี้มันกลับไม่ติดกับดักเลย และเขาเคยถึงขั้นใช้ระเบิดไดนาไมท์เพื่อกะจะระเบิดให้มันตายด้วยการจับตายก็ลองมาแล้ว แต่ทุกครั้งเหมือนว่าเจ้าออสการ์จะรู้ดี มันจะหนีลงไปในน้ำลึกและไม่ยอมขึ้นมาแถบขอบฝั่งเพื่อให้ใครเห็นตัว
ครั้งสุดท้าย เกลถึงขั้นยื่นคำร้องต่อกรมประมงและกรมพันธุ์สัตว์ป่าประจำรัฐอินเดียน่าเพื่อขออนุญาติในการติดตั้งเครื่องสูบน้ำให้ถูกกฏหมาย เขาคิดว่าถ้าสูบน้ำออกหมดจะจับตัวของมันได้ แต่คำขอนี้ถูกปฏิเสธไปเพราะสิ้นเปลืองงบ และอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแถวนั้นและผู้คนที่ใช้น้ำ สุดท้าย เกลจึงล้มเลิกการตามหามันไปในที่สุด และเจ้าออสการ์ได้ถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี ค.ศ. 1949 เด็กสองพี่น้องไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบและเห็นหลังของเต่าขนาดใหญ่ที่ขึ้นมานอนอาบแดดริมตลิ่ง เต่าตัวนั้นเมื่อได้ยินเสียงเรือพายก็กลับพลันกระโจนลงน้ำหายไปในที่สุด หลังจากนั้นมา ชาวเมืองโชรูบุสโก้ก็ตัดสินใจนำตำนานบันทึก
การที่จะพบเต่าขนาดใหญ่นั้น หากลองสืบย้อนอารยธรรมของเรา ก็เคยเจอเต่าขนาดใหญ่ที่ถูกบันทึกไว้แล้วทั้งสิ้น เช่น ในตำนานของอินเดีย พระวิษณุได้อวตารมาเป็นเต่าขนาดใหญ่นามว่า กูรมาวตาร ซึ่งทรงเป็นฐานให้กับภูเขาและสันฐานของโลก รวมถึงเขาพระสุเมรในครั้งกวรเกษียรสมุทร ในตำนานของเวียดนาม กษัตริย์เลย์ เหลย (Le Loi) ได้เดินทางไปที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Hoan Kiem Lake) ซึ่งได้มีเต่าขนาดใหญ่สีทองนำดาบขึ้นมาให้กษัตริย์เลย์ เหลยนำไปใช้ปราบผู้รุกรานชาวหมิงออกไปจากทางเหนือของเวียดนามได้ และก็ต้องนำดาบนั้นกลับไปคืนเต่าที่ทะเลสาบในตอนท้ายตามสัญญา ซึ่งแม้แต่ในตำนานของชาวพื้นเมืองอเมริกันเอง ก็เล่าว่าในยุคการสร้างโลก เต่าขึ้นมาจากทะเลบรรพกาลพร้อมกับกบและกุ้งเครฟิชช่วยกันโกยเอาเลนโคลนจากก้นทะเลขึ้นมาสร้างเป็นแผ่นดินให้สิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อาศัย จะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นผูกพันธ์กับเต่ามาแต่โบราณ สัญลักษ์แห่งความเคารพต่อการมีอายุยืนและโชคลาภที่ผ่านความพยายาม ความอดทนมานับยุคสมัย กระนั้นเอง เมื่อมนุษย์ลืมตนไปว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังในธรรมชาติ พวกเขากลับกอบโกย ทำร้าย คิดร้ายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยลืมไปว่าก่อนหน้าพวกเขา ก็กลับมีสัตว์อื่นๆ ที่มนุษย์ยังไม่รู้จักอยู่อีกมาก สุดท้ายแล้ว ออสการ์จะยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้หรือไม่ ก็ไม่มีใครตอบได้
แล้วคุณล่ะ คิดว่ามันมีจริงไหม?
อ้างอิงจาก: https://hangar1publishing.com/blogs/cryptids/beast-of-busco?srsltid=AfmBOorjIsnG2hAH-syh379FRhWmwOZoEzD8XX6UfQAh9oZ_3tf1dYyi
https://cryptidz.fandom.com/wiki/Beast_of_Busco
https://www.smithsonianmag.com/science-nature/could-citizens-of-this-indiana-town-have-seen-a-500-pound-turtle-180984659/