มนตราวายสะ ตอนที่ 12 เด็กน้อย (3)
+++++++++
“เพราะมึงเลยไอ้เ...้ย เล่นบอลจนไม่มีเงินจะแดกข้าวแล้วเนี่ย” เสียงด่าของนางทิพย์วรรณเล็ดลอดออกมาจากในบ้านพร้อมกับเสียงขว้างปาข้าวของดังลั่นจนบางครั้ง สกุณาที่ยืนอยู่หน้าบ้านถึงกับสะดุ้ง
“แล้วมึงล่ะ ซื้อหวยงวดละพันสองพัน ซื้อแม่งทุกหวยทุกเชื้อชาติ ถูกก็ว่าไปอย่าง แต่นี่อะไร ถูกแดกทุกวัน” เสียงนายบรรจงด่าตอบกลับไปบ้าง คราวนี้ทั้งเสียงขว้างข้าวของ ทั้งเสียงตบตีกันดังลั่นปนเปกันไปหมด จนสกุณาเอามือดันประตูให้ปิดเอาไว้ แม้จะไม่สามารถตัดเสียงเหล่านั้นได้ แต่ก็ลดระดับลงได้มากทีเดียว
“ตีกันอีกแล้ว” ผู้สูงวัยบ่น ก่อนจะหันมามองเด็กน้อยที่ยืนก้มหน้าเศร้าพลางยกมือเช็ดน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลออกมา “แล้วนี่เอ็งจะไปไหน”
“ไปเล่นข้างนอกจ้ะ” นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่แสนจะเลวร้ายนี้ แม้เพียงชั่วคราวก็ยังดี เธอไม่สามารถหยุดความรุนแรงที่นับวันจะยิ่งเพิ่มระดับมากขึ้น เพราะเคยเข้าไปห้าม แต่ก็โดนลูกหลงจนหัวเกือบแตก
“ระวังด้วยล่ะ อย่ากลับค่ำนะ แล้วกินข้าวหรือยัง มีเงินกินขนมไหม อะ ยายให้” ผู้สูงวัยถามอย่างเป็นห่วงก่อนจะยื่นเงินแบงก์ยี่สิบให้กับเด็กน้อยอย่างสงสาร
“ขอบคุณมากค่ะ ถ้ายายมีอะไรให้ช่วยบอกหนูได้เลยนะคะ” สกุณายกมือไหว้ รับเงินที่ไม่ได้มากมายนั้นมาอย่างดีใจ
ผู้สูงวัยพยักหน้า “ไปเถอะ” นางมองตามหลังเด็กน้อยวิ่งผละออกไปแล้วหันมามองบ้านที่กำลังก่อสงครามกันอยู่แล้วได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้อนาคตของเด็กน้อยคนนี้จะเป็นอย่างไร ทั้งที่เป็นเด็กนิสัยดี น่ารัก และมีความคิดความอ่านโตเกินวัย ถ้านางมีกำลังมากกว่านี้คงพอช่วยอะไรได้บาง แต่ตอนนี้คงช่วยได้เท่านี้ “น่าสงสารจริง ๆ”
“ขอโทษครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” เสียงนุ่มทุ้มที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ผู้สูงวัยถึงกับสะดุ้ง รีบหันไปมองแล้วถอยหลังโดยอัตโนมัติ
“อย่าบอกน่ะว่าจะมาทวงหนี้บ้านนี้น่ะ” นางยกมือทาบอกพลางพยักพเยิดหน้าไปยังบ้านที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับเสียงด่าและความรุนแรงลงเลย
“เปล่าครับ ผมมาช่วยต่างหากล่ะ”
สกุณาเดินถือถุงลูกชิ้นปิ้งมาทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ ที่ไม่ไกลจากซอยที่เธออาศัยอยู่นัก อีกทั้งที่นี่ยังมีสนามเด็กเล่น ดังนั้นเธอกับเพื่อน ๆ มักจะมาที่นี่บ่อย ๆ จึงไม่แปลกเลยที่มานั่งไม่นาน ก็มีคนส่งเสียงเรียกให้ไปเล่นด้วยเป็นระยะ ๆ
“นกมาเล่นวิ่งไล่กัน”
“เดี๋ยวไป” สกุณาที่กำลังกินลูกชิ้นตะโกนตอบเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ซอยเดียวกัน ก่อนเธอจะชะงักเมื่ออ้าปากจะงับลูกชิ้นในไม้ที่เหลือแค่สองลูกใส่ปาก แต่ตาดันเหลือบไปเห็นสุนัขตัวหนึ่งกำลังเงยหน้ามอง “อะไรเจ้าหมา อยากกินเหรอ ให้ลูกหนึ่งแล้วกัน มันเหลือแค่สองลูกเอง” ว่าแล้วก็งับกินไปลูกหนึ่งแล้วอีกลูกที่เหลือก็โยนให้สุนัขที่ยืนมองตาละห้อย
“ใจดีจังเลยนะเราเนี่ย”
เสียงทักที่แสนจะคุ้นหูดังขึ้นทำให้สกุณาที่กำลังเทน้ำในขวดล้างมือหันไปมอง แล้วรีบยกมือไหว้คุณครูภาษาไทยของที่โรงเรียน “สวัสดีค่ะคุณครู”
“ไม่ไปเล่นกับเพื่อนเหรอ” สุนิสาถามพลางพยักพเยิดไปยังลูกศิษย์อีกสองสามคนที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่
“กำลังจะไปค่ะ คุณครูมาทำอะไรคะ”
“มาซื้อของน่ะ เลยแวะมาเดินเล่น พักสมองนิดหนึ่งแล้วจะกลับไปทำงานต่อ”
“ครูเหมือนเหนื่อย ๆ นะคะ” สกุณาทักท้วงเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่และความเมื่อยล้าที่แสดงออกมาทางสีหน้า
“เหนื่อยสิ ทั้งงานครูและงานบ้านสารพัด นี่ยังไม่ได้ซักผ้าล้างจานเลย อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง” สุนิสาโอดครวญมองพวกเด็ก ๆ ที่คงไม่มีความทุกข์อะไรอย่างรู้สึกอิจฉา
“แต่หนูอยากโตเป็นผู้ใหญ่จังเลยค่ะ”
ทว่าคำพูดของลูกศิษย์คนนี้กลับทำให้เธอถึงกับเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ”
“หนูอยากทำงานหาเงินค่ะ” สกุณาทำสีหน้าจริงจัง
“ตัวแค่นี้จะเอาเงินไปทำอะไร” สุนิสาโยกศีรษะเล็ก ๆ นั้นอย่างเอ็นดู
“ใช้หนี้ให้พ่อกับแม่ค่ะ และอีกอย่าง ถ้าเรามีเงินอยากได้อะไรก็ซื้อได้นี่คะ” เด็กน้อยตอบกลับด้วยสีหน้าที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัด เห็นแล้วสุนิสาก็อดที่จะถามไม่ได้ “ครอบครัวมีปัญหาเรื่องเงินเหรอ” เพราะไม่ใช่ครูที่ปรึกษาเรื่องทางครอบครัวของสกุณาเธอเลยไม่รู้
“ค่ะ มีคนมาทวงเงินพ่อกับแม่ทุกวันเลย” พอพูดมาถึงเรื่องนี้ น้ำตาของเด็กน้อยก็รื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เพราะเจอเหตุการณ์นี้ทีไร เธอที่ต้องแอบอยู่ในบ้านจะตัวสั่นเทาเสมอ เมื่อได้ยินเสียงด่าและเตะทำลายประตูรวมถึงข้าวของหน้าบ้าน ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างฝังใจ ทำให้ทุกวันนี้เธอจะสะดุ้งตกใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงตะโกนหรือเสียงอะไรก็ตามที่ดัง ๆ
“งั้นถ้าครูจ้างเราไปทำงานบ้านจะไปไหม”
“จริงเหรอ ไปค่ะ” สกุณาขยับเข้าไปจนชิดมองคุณครูสาวด้วยสายตาเป็นประกาย
“ไม่อยากเล่นกับเพื่อนเหรอ” สุนิสาถามยิ้ม ๆ
“ไว้เล่นตอนไปโรงเรียนก็ได้ค่ะ ครูจ้างหนูนะคะ หนูทำเป็นทุกอย่างซักผ้าล้างจานกวาดบ้านถูบ้าน หุงข้าวก็ทำเป็นนะคะ แต่กับข้าวยังทำไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ แต่หนูเจียวไข่และต้มไข่ได้ ต้มมาม่าก็ทำเป็นค่ะ” สกุณาสาธยายถึงความสามารถของตัวเอง ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับคุณครู
“งั้นไปตอนนี้เลยได้ไหม ทำเสร็จครูจ่ายเงินแล้วเราก็กลับบ้านได้ เสร็จไวก็ได้กลับไว โอเคไหม”
“โอเคค่ะ” สกุณาพยักหน้ารับอย่างไม่ต้องคิด ขณะที่มือทั้งสองนั้นอยู่ในท่าพนมตลอดเวลา
“งั้นก็ไปบ้านครูกัน” สุนิสาลุกขึ้นหยิบของที่เธอวางมันไว้บนเก้าอี้ไม้ชั่วคราว
“ไกลไหมคะ” เด็กน้อยถามอย่างเป็นกังวล ขาไปไม่เท่าไหร่เพราะไปกลับคุณครู แต่ขากลับนี่สิ ถ้าไกลมากเธอก็กลัว
“ไม่หรอก เดี๋ยวขากลับครูขับมอเตอร์ไซค์มาส่ง”
“ขอบคุณค่ะ หนูรักครูที่สุดเลย หนูช่วยถือนะคะ” เด็กน้อยอาสาพร้อมกับยิ้มเต็มวงหน้า ดูสดใสต่างกับตอนแรกลิบลับ สุนิสาจึงแบ่งถุงผักให้ไปหนึ่งถุง แล้วพาลูกศิษย์ตัวน้อย แต่ความคิดกลับน่าชื่นชมโตกว่าวัยไปที่รถ เพื่อพาไปทำงานบ้านสานฝันการอยากมีงานทำ ส่วนตัวเธอนั้นก็จะได้ทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่