การเดินทางในป่าแห่งความลับep.2
เรื่องนี้ค่อยข้างยาว เป็นอีกเรื่องที่ผมแต่งขึ้นมาเพื่อให้อ่านตอนคํ่าตอนว่างๆนะคับ
แนะนําวิธีอ่าน
1ใช้แสงที่เหมาะสมและอาจเล่นเพลงเบา ๆ ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศ เช่น เพลงบรรเลงหรือเพลงที่ไม่รบกวน
2ลองจินตนาการภาพเหตุการณ์ในเรื่องราวเป็นภาพเคลื่อนไหวในหัวของคุณ หรืออาจจินตนาการว่าคุณเป็นตัวละครในเรื่อง
3คุณรู้สึกเหนื่อยหรือล้าจากการอ่าน ลองพักสักครู่แล้วกลับมาอ่านอีกครั้ง การพักจะช่วยให้คุณกลับมาสนุกกับการอ่านได้ดีขึ้น
เมื่อพร้อมแล้วมาเรื่มกัน
เรื่อง
การเดินทางในป่าแห่งความลับ
.
.
.
.
ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมชายป่า มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับป่าลึกที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเพราะเชื่อกันว่ามันซ่อนความลับและอันตรายมากมาย เรื่องราวของป่าแห่งความลับถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น บางคนบอกว่ามีอสูรกายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด บางคนเชื่อว่ามันเป็นประตูไปสู่อีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และอันตราย
แต่ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ไม่มีใครกล้าท้าทายขีดจำกัดของตนเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง นักเดินทางผู้กล้าหาญที่ไม่เชื่อในเรื่องเล่าที่ไร้เหตุผล เขาตัดสินใจออกเดินทางไปสำรวจป่าลึกนั้นด้วยความตั้งใจที่จะค้นหาความจริง
ในเช้าวันที่สดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง เขาเตรียมเสบียงและอุปกรณ์สำหรับการเดินทาง เขารู้ดีว่าป่าลึกนั้นไม่ใช่สถานที่ที่สามารถเดินเข้าไปได้โดยไม่เตรียมตัว เขาเลือกเส้นทางที่ไม่ค่อยมีใครใช้ ผ่านลำธารเล็ก ๆ และทุ่งหญ้ากว้าง จนกระทั่งมาถึงเขตแดนของป่าแห่งความลับ
เมื่อก้าวเข้าสู่ป่า เขารู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านเข้ามาในบรรยากาศ รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงของธรรมชาติที่เงียบสงบ แต่ในความเงียบสงบนั้นกลับมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่เขายังคงเดินหน้าต่อไป
ทางเดินในป่าค่อย ๆ ลึกเข้าไป เส้นทางเริ่มมืดลงเมื่อแสงอาทิตย์ถูกบังด้วยต้นไม้ที่หนาทึบ แม้ว่าจะมีความกลัวเกิดขึ้นในใจ แต่ความตั้งใจที่จะค้นหาความลับของป่าแห่งนี้ยังคงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาไม่หยุดเดิน
นักเดินทางพยายามไม่ให้ความกลัวครอบงำ จนกระทั่งเขามาถึงบริเวณที่ลึกที่สุดของป่า สถานที่ที่ดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดนิ่งไปหลายร้อยปี ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีลมพัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาเองที่สะท้อนในความเงียบงัน
ทันใดนั้น เขาพบกับแผ่นหินใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และมอส สัญลักษณ์บนแผ่นหินนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมที่สูญหายไปแล้ว เขาพยายามที่จะคลี่คลายความหมายของมัน แต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงที่มาหรือจุดประสงค์ของสัญลักษณ์นี้
นักเดินทางเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังเฝ้าดูเขาอยู่ แต่เขายังคงเดินต่อไป ความกล้าหาญของเขาถูกท้าทายอีกครั้งเมื่อเขาเห็นแสงไฟสีส้มอ่อน ๆ ที่ส่องสว่างอยู่ห่างออกไป เขาเดินตามแสงนั้นไป จนกระทั่งพบกับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่กลางป่า
หมู่บ้านนี้ดูเหมือนจะไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน บ้านเรือนทำจากไม้เก่า ๆ มีควันลอยออกมาจากปล่องไฟ สภาพแวดล้อมดูสงบสุข แต่กลับมีบรรยากาศที่แปลกประหลาด คนในหมู่บ้านต่างก็ทำงานตามปกติ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นักเดินทางรู้สึกได้ว่าหมู่บ้านนี้ไม่ใช่ที่ที่พบเจอได้ง่าย ๆ เขาตัดสินใจเข้าไปสำรวจและพูดคุยกับชาวบ้าน แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ทุกคนทำเหมือนไม่รู้ว่าป่าแห่งนี้มีความลับอะไร หรือพวกเขาอาจจะปกปิดอะไรบางอย่าง
ขณะที่เขากำลังเดินสำรวจหมู่บ้าน เขาพบกับชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าบ้าน ชายชรามองมาที่เขาด้วยสายตาที่เฉียบคมและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่สามารถอ่านได้
"เจ้ามาทำอะไรที่นี่?" ชายชราถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
นักเดินทางอธิบายว่าเขาออกเดินทางมาเพื่อค้นหาความลับของป่า และพบหมู่บ้านนี้โดยบังเอิญ ชายชรายิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
"เจ้ากำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่ไม่ควรเดินอยู่ ป่าแห่งนี้มีความลับที่ซ่อนอยู่ และบางสิ่งบางอย่างไม่ควรถูกค้นพบ"
นักเดินทางไม่ยอมแพ้ เขาถามชายชราว่ามีอะไรที่เขาควรรู้เกี่ยวกับป่าและหมู่บ้านนี้ ชายชราพูดช้า ๆ ราวกับต้องการให้เขาเข้าใจทุกคำที่พูด
"ที่นี่คือสถานที่ที่ถูกลืม เราคือคนที่ถูกลืม หมู่บ้านนี้คือโลกที่อยู่นอกเหนือจากความเป็นจริง ถ้าเจ้ายังอยากรู้ความลับของป่า จงจำไว้ว่าความรู้ที่ได้มานั้นอาจมีราคาที่ต้องจ่าย"
คำพูดของชายชราทำให้นักเดินทางเกิดความสงสัยมากขึ้น แต่เขารู้ดีว่าการถามต่อไปอาจทำให้เขาต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน
ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เสียงกลองที่ดังก้องไปทั่วหมู่บ้านทำให้ทุกคนหยุดทำงานและหันมามอง ชาวบ้านทุกคนเริ่มเคลื่อนตัวไปยังจุดหนึ่งในหมู่บ้าน นักเดินทางตัดสินใจตามไปด้วย
ที่ใจกลางหมู่บ้าน มีลานกว้างที่มีแท่นสูงตั้งอยู่ ตรงกลางแท่นมีไฟที่กำลังลุกไหม้ ชาวบ้านทุกคนยืนล้อมรอบแท่นนั้นด้วยความเคารพ
ทันใดนั้น ชายชราที่นักเดินทางพูดคุยด้วยก็เดินขึ้นไปบนแท่นและกล่าวคำพูดบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจ จากนั้นชาวบ้านทุกคนก็ร้องเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงเพลงนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความคิดถึง ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าสู่โลกอีกโลกหนึ่ง
หลังจากพิธีสิ้นสุดลง ชายชราเดินมาหาเขาอีกครั้งและบอกว่า "เจ้ามีโอกาสสุดท้ายที่จะกลับไป ถ้าเจ้าเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป ความลับของป่าจะเป็นของเจ้า แต่เจ้าจะไม่สามารถกลับไปสู่โลกภายนอกได้อีก"
นักเดินทางต้องตัดสินใจเลือกว่าจะดำเนินต่อไปหรือหันหลังกลับ แม้ว่าความลึกลับของป่าจะดึงดูดใจเขา แต่คำเตือนของชายชราก็ยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา
สุดท้ายเขาตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไป เขาตามชายชราไปยังทางเดินที่มืดมิด ผ่านเส้นทางที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอุปสรรค จนกระทั่งพวกเขามาถึงที่หน้าประตูหินบานใหญ่ที่มีสัญลักษณ์โบราณ
ชายชราบอกเขาว่านี่คือประตูที่นำไปสู่ความลับของป่า แต่ถ้าเปิดมันออก เขาจะไม่มีวันหวนกลับได้อีก
นักเดินทางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะผลักประตูเปิดออก ทันใดนั้น แสงสว่างที่ไม่คาดคิดก็สาดเข้ามา และเขารู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่โลกที่ไม่เคยรู้จัก
โลกที่เขาเข้ามาเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้มที่เต็มไปด้วยดวงดาวแม้จะเป็นเวลากลางวัน และอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้แปลก ๆ
เขาพบกับภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม และทะเลสาบที่มีน้ำสีมรกตใสสะอาด ในขณะที่สำรวจโลกใหม่นี้ เขาเริ่มพบกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บางตัวมีลักษณะเหมือนสัตว์ในเทพนิยาย บางตัวมีรูปร่างแปลกประหลาดที่เป็นเอกลักษณ์ของโลกนี้
การเดินทางในโลกใหม่นี้ไม่ใช่แค่การค้นหาความลับเท่านั้น แต่ยังเป็นการเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่นกัน เขาพบกับเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ซึ่งบางเผ่าพันธุ์มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและบางครั้งก็มีความขัดแย้ง
ในระหว่างการเดินทาง เขาได้พบกับตัวละครใหม่ ๆ เช่น
-
Liora - นางฟ้าท้องฟ้าที่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ เธอเป็นผู้ช่วยและเพื่อนที่ให้คำแนะนำในการเดินทาง
-
Thorne - นักรบจากเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในภูเขาที่สูง เขาเป็นนักสู้ที่มีทักษะการใช้ดาบที่ยอดเยี่ยมและมีความรู้เกี่ยวกับภูเขาและทะเลสาบ
-
Elder Rowan - ชายชราในเผ่าพันธุ์ที่อาศัยในป่า เขาเป็นผู้รักษาความรู้โบราณและสามารถให้คำตอบเกี่ยวกับความลับของป่าแห่งความลับ
การเดินทางของเขาในโลกใหม่เต็มไปด้วยความท้าทาย เขาต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายจากสัตว์ร้ายและปัญหาต่าง ๆ เช่น ภูเขาที่ถล่มและพายุที่รุนแรง แต่เขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนใหม่ ๆ และความรู้ที่เขาได้รับจากการสำรวจ
ในที่สุด เขาพบว่าความลับของป่าแห่งความลับไม่ได้หมายถึงการค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในป่า แต่หมายถึงการเข้าใจและยอมรับความจริงเกี่ยวกับตัวเองและโลกที่เขาอยู่
ตอนจบของการเดินทาง เขาตัดสินใจที่จะอยู่ในโลกใหม่และเป็นผู้ปกป้องความลับของป่าแทนที่จะกลับไปยังโลกเก่า ความลึกลับของป่าแห่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับรู้และต้องการรักษาไว้
การเดินทางของเขาในป่าแห่งความลับยังคงดำเนินต่อไป แต่ตอนนี้เขาได้พบกับความหมายของชีวิตในโลกที่ไม่มีที่สิ้นสุด และความลับของป่าแห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาแล้ว