สังคายนาไนเซียครั้งที่หนึ่ง จุดเริ่มต้นของความเชื่อคริสต์นิกายหลัก
ในช่วงศตวรรษที่ 3 ศาสนาคริสต์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็เกิดความแตกแยกในเรื่องความเชื่อหลายประการ หนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของพระเยซูคริสต์ เอเรียส นักบวชชาวอเล็กซานเดรีย สอนว่าพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าด้วยพระองค์เอง และมีธรรมชาติที่แตกต่างจากพระบิดา ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิมของคริสตจักรที่ยืนยันว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่บังเกิดจากพระบิดา
ความแตกแยกทางความเชื่อนี้สร้างความสั่นคลอนให้กับคริสตจักรอย่างมาก จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช ซึ่งในขณะนั้นได้ประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาของจักรวรรดิโรมัน จึงเห็นว่าจำเป็นต้องรวมความเชื่อของคริสตชนให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของจักรวรรดิ
สภาสังคายนาไนเซียได้มีมติให้ปฏิเสธลัทธิเอเรียส และประกาศว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่แท้จริง มีธรรมชาติเดียวกันกับพระบิดา (homoousios) นอกจากนี้ สภาฯ ยังได้ร่างสัญลักษณ์แห่งความเชื่อ หรือที่เรียกว่า "สัญลักษณ์แห่งไนเซีย" ซึ่งเป็นหลักคำสอนพื้นฐานของศาสนาคริสต์นิกายหลักมาจนถึงปัจจุบัน
สังคายนาไนเซียครั้งที่หนึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ เพราะเป็นการกำหนดทิศทางความเชื่อของคริสตจักรในอนาคต สัญลักษณ์แห่งไนเซียได้กลายเป็นมาตรฐานในการวัดความเชื่อของคริสตชน และเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทฤษฎีเทววิทยาต่างๆ ในภายหลัง
ผลกระทบที่สำคัญของสังคายนาไนเซีย ได้แก่ สังคายนาช่วยให้คริสตจักรกลับมามีความเป็นเอกภาพมากขึ้น แม้ว่าความแตกแยกยังคงมีอยู่บ้างในภายหลัง สัญลักษณ์แห่งไนเซียได้กลายเป็นหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร และเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาความเชื่ออื่นๆ สังคายนาไนเซียมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์โลกอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวัฒนธรรมและสังคม
สังคายนาไนเซียครั้งที่หนึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่กำหนดทิศทางของศาสนาคริสต์ สัญลักษณ์แห่งไนเซียที่เกิดจากการประชุมครั้งนี้ยังคงเป็นหลักคำสอนที่สำคัญของคริสตจักรมาจนถึงปัจจุบัน และมีอิทธิพลต่อความเชื่อและวัฒนธรรมของมนุษยชาติมาเป็นเวลานาน