ทรัมป์ย้ำจะส่ง Facebook เข้าซังเตให้ได้!

ทรัมป์ย้ำจะส่ง Facebook เข้าซังเตหากเขาได้เป็นประธานาธิบดี

ตามรายงานของ Business Insider อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Truth Social ที่เขาสร้างขึ้นเองว่า หากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เขาจะส่ง "ผู้โกงการเลือกตั้ง" เข้าคุก  และระบุชื่อผู้ก่อตั้งโดยเฉพาะ Facebook นั่นคือ Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ทรัมป์เขียนว่า "พวกเขาไร้ยางอาย! ทั้งหมดที่ฉันสามารถพูดได้ก็คือว่าหากฉันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

เราจะตามล่า 'ผู้ฉ้อโกงการเลือกตั้ง' ด้วยความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และพวกเขาจะถูกจำคุกเป็นเวลานานนนนนนน" เขากล่าวเสริมว่า "เรารู้อยู่แล้ว " ว่าคุณเป็นใคร และอย่าทำแบบนั้น จงระวัง!” การที่ทรัมป์เสนอชื่อซัคเกอร์เบิร์กว่าเป็น “ผู้โกงการเลือกตั้ง” ได้รับความสนใจอย่างมากมาย 

ด้วยความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสามารถย้อนกลับไปก่อนการเลือกตั้งสหรัฐในปี 2563 ..

เมื่อซักเคอร์เบิร์กบริจาคเงิน 419 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไรสององค์กรเพื่อสนับสนุนแผนกการเลือกตั้ง การบริจาคดังกล่าวได้รับการขนานนามว่า "ZUCKERBUCKS" โดยพรรครีพับลิกันบางคน ซึ่งเชื่อว่าการบริจาคนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเหมาะสมของการเลือกตั้ง ทรัมป์ขู่ในโพสต์เกี่ยวกับกฎหมาย Safeguard American Voter Eligibility Act ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่นำโดยพรรครีพับลิกันที่เสนอนั้นกำหนดให้พลเมืองต้องจัดเตรียมเอกสารประจำตัวเพื่อลงทะเบียนเพื่อลงคะแนนเสียง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลที่ไม่ใช่พลเมืองจะถูกแยกออกจากคุณสมบัติในการลงคะแนนเสียง

 ทรัมป์อ้างว่าบุคคลที่ไม่ใช่พลเมืองและผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร แต่ได้รับสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง โดยได้รับแรงหนุนจาก "นักการเมืองประชาธิปไตยที่คดโกง"และฝ่ายตุลาการที่ "ทุจริต(ไม่ซื่อสัตย์)" ของอเมริกาที่ใช้มันป้องกันและไม่ให้มันเกิดขึ้น

ในโพสต์โซเชียล Truth เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ทรัมป์อ้างว่าซักเกอร์เบิร์ก "โกง" ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2563 และสอดคล้องกับรายงานของ Fox News ที่ระบุว่า ได้เริ่มสอบสวนบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับซักเกอร์เบิร์ก กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเบิร์กบริจาคเงิน 2 ล้านดอลลาร์ให้กับรัฐจอร์เจีย สำหรับคณะกรรมการการเลือกตั้ง. 

 เขาเขียนในเวลานั้นว่า "ทำไมเขาถึงไม่ถูกดำเนินคดี พรรคเดโมแครตรู้แค่วิธีโกง และ สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป!"

ขณะที่การเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2567 ใกล้เข้ามา และไบเดนก็พูดไม่ออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งไม่สอดคล้องกันในการโต้วาทีกับฝ่ายตรงข้ามจนต้องเปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นแฮร์ริส รวมถึงการลอบสังหารที่ล้มเหลว ความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาอีกครั้งก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ความแค้นของ ทรัมป์และซักเคอร์เบิร์กก็มีประวัติความเป็นปรปักษ์กันมายาวนาน

 นับตั้งแต่สมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 ซักเคอร์เบิร์กวิพากษ์วิจารณ์คำพูดที่สร้างความแตกแยกและยั่วโทสะของทรัมป์ต่อสาธารณะว่า "น่าตกใจและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง" และอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์ "จลาจลในแคปิตอลฮิลล์" เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 บัญชี Facebook และ Instagram ของทรัมป์ถูกแบนและไม่ได้รับการกู้คืนจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในแถลงการณ์ในขณะนั้นว่าบริษัทตัดสินใจว่า “มีความเสี่ยงเกินไปที่จะยอมให้ทรัมป์ใช้บริการของเราต่อไปในช่วงเวลานี้”

 เพื่อแก้เกม ทรัมป์ก็ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเองชื่อ Truth Social เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ด้วยความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของโซเชียลมีเดียกระแสหลักและสื่อสารโดยตรงกับผู้สนับสนุน

แต่ในการชุมนุมเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ทรัมป์กลับแสดงความเห็นอย่างสับสนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับซักเคอร์เบิร์ก เขากล่าวว่าผู้ก่อตั้ง Facebook ได้รับประทานอาหารค่ำกับเขาที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่แล้วทรัมป์ได้ก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ทรัมป์กล่าวในตอนนั้นว่า "สัปดาห์ที่แล้ว มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ไอ้ตัวประหลาดคนนั้นมาที่ทำเนียบขาวและจูบก้นฉันทั้งคืน" 

 เขาเลียนแบบซักเคอร์เบิร์กและพูดว่า "ท่านครับ ผมอยากจะร่วมงานกับคุณ สำหรับมื้อเย็น ฉันยินดีที่จะพาภรรยาที่น่ารักของฉันไปด้วย” และในเดือนมีนาคมของปีนี้ ทรัมป์ถึงกับเรียก Facebook ว่าเป็น “ศัตรูสาธารณะ” แต่ ตัวแทนของ Zuckerberg ก็ยังไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอความคิดเห็นในทันที