เพราะคำว่า...สินสอด
ในตอนที่เราเรียนอยู่ ปีที่1 ที่วิทยาลัยเราคบกับรุ่นพี่ปี 2 ซึ่งเขาเป็นคนเขตนอก หรือเรียกว่าเขตชนบทก็ว่าได้, เมื่อเราพาเขาไปพบกับครอบครัว ทางพ่อกับแม่ของเราก็พูดว่า เขาเป็นคนชนเผ่าหรือเปล่า เขาจะรักเราจริงไหม, เรากับเขาควรเป็นเหมือนเพื่อนหรือพี่กับน้องกันก่อนคงจะดีกว่านะ (เหมือนยังไม่เห็นดีให้เป็นแฟนกัน) แล้วพอวันเวลาผ่านไป หลายๆอย่างก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขารักและช่วยดูแลเราทุกอย่างจนพ่อกับแม่ไว้วางใจ ให้เราวางแผนอนาคตด้วยกัน. และ แล้ววันหนื่ง ก็เป็นวันที่แม่ของเราถามถึงค่าสินสอด ว่าถ้าจะแต่งงานกันจะมีสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่.... แม่เราก้อตอบว่า ประมาณ 50.000บาท กับ ทองคำ 3บาท ก้อคงจะโอเค. พ่อแม่ของฝ่ายชายได้ยินดังนั้นจึงพูดกับลูกชายของเขาว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้รักเรา,ไม่ได้เห็นความดีของเราเขาถึงเรียกค่า สินสอดได้แพงขนาดนี้ ....จืงทำให้แฟนของเรา คิดหนัก และ เชื่อสิ่งที่แม่เขาพูด, จนเขาพยายามตีตัวจะออกห่าง และ สุดท้ายก็บอกเลิกเรา แล้วบอกว่าจะหาผู้หญิงคนอื่นในท้องถิ่นบ้านของเขาที่ไม่มีค่าสินสอดแพงแบบนี้ เพราะเขาเปรียบเสมือนว่าเราอยู่ในเมืองเลยคิดว่างานแต่งต้องหรูหราแตกต่างจากบ้านของเขาที่ไม่ต้องมีอะไรมากก็สามารถได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวแล้ว ทำไมพ่อกับแม่เธอถึงไม่นืกถึงเราบ้าง ว่าเราจะไปเอาเงินมาจากไหน เรารักเธอเธอก็รักเราทำไมเธอถึงเรียกร้องมันสูงขนาดนั้น. ในระหว่างนั้นพวกเราแยกกันอยู่ซักพักให้เวลาพิสูจน์หลายๆอย่าง แต่สุดท้ายพวกเราก็พบว่าพวกเราไม่สามารถห่างกันได้เลย เราจะต้องสู้ ขยันอดทนเพื่อหาตังค์ให้ได้ดั่งหวัง, หลังจากนั้นไม่กี่เดือน พ่อกับแม่เราก้อทะเลาะกัน และ มีปากเสียงกันแทบทุกวันจนถึงขั้น แม่หนีออกจากบ้าน เพราะอยากเลีกกับพ่อ เพราะเหตุผล 100 อย่างที่ผ่านมาสะสมกัน, สุดท้าย แม่ต้องจำใจกับมาบ้าน เพราะเป็นห่วงเรา เพราะเรายังไม่ได้แต่งงาน ที่จะอยู่อย่างถูกต้องด้วยกัน ด้วยช้ำ, แม่บอกว่า เราต้องรีบแต่งงานให้เร็วที่สุด เพระแม่จะหมดห่วง อย่างน้อยเราก้อจะได้มีคนรักดูแล เรา กับ น้องสาวที่ยังเรียนอยู่ได้ และ แม่จะไปจากที่นี่ จะต้องไม่ ทะเลาะกับพ่อแบบนี้ทุกวัน.ทุกๆอย่างบีบคั้นให้เราต้องคิดหนัก เพราะเรายังเรียนอยู่ ปีสุดท้ายของ มหาวิทยาลัย เราก้อเลยไม่อยากออกโรงเรียนเพื่อไปแต่งงานฟ้าแล่บแบบนั้น.ทุกอย่าง ยิ่งทำให้เราคิดหนักมากขื้น ว่าเราจะต้องทำสิ่งที่มันยังไม่ถืงเวลา เพื่อความสุขของคนใน ครอบครัวก่อนใหม หรือ ต้องทิ้งทุกอย่างแล้วไปตามทางที่มันควรจะเป็น, และแล้ว แม่ต้องจำใจอยู่บ้านกับพวกเรา โดยที่ต้องมาทะเลาะกับพ่อแทบจะทุกวัน เพื่อรอวันที่เราเรียนจบ และ พร้อมที่จะสร้างครอบครัวได้ , และวันที่เราพร้อมมันก้อไม่มีสักครั้ง เพราะมันอยู่ที่เงิน. เรายังเรียนอยู่ พื่งจะจบ จะเอาเงินมาจากไหนมาจัดงานแต่ง ยิ่งทำให้เราต้องดิ้นรนหาเงินช่วยกัน จนวันนั้นก้อมาถืง. วันที่เรารอคอยมาเกือบจะ 3ปี เราจืงได้แต่งงานกัน
ด้วยน้ำพักน้ำแรง หาด้วยมือของเราทั้งสอง เพื่อมาแต่งกันเอง เพราะพ่อกับแม่เราไม่มี ต้นทุน ให้เราแม้แค่ก้้อนเดียว.