สรุปข้อคิดที่ได้จากหนังสือ วิชาใจเบา (Lighter)
การรักตัวเอง ไม่ได้หมายถึงการทำให้ตัวเองมีความสุขเต็มเปี่ยม แต่เป็นการให้คำแนะนำตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เราได้เติบโตอย่างแท้จริง
อคติที่แข็งแกร่งที่สุดของเรา คือ เรามักคิดว่าสาเหตุของปัญหาเกิดจากปัจจัยภายนอก เพราะอัตตาของเราชอบโทษสิ่งอื่น หรือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเรา
เราควบคุมให้คนอื่นแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าคนรอบตัวเราเป็นบุคคลอันตรายก็ยิ่งไม่อาจบังคับพวกเขาได้เลย วิธีที่ดีที่สุดจึงเป็นการเอาตัวเองออกมาจากอันตรายนั้นเสีย ไม่ว่าเราจะพูดกับเขายังไง เราก็ไม่มีทางเปลี่ยนคนอื่นได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากภายในเท่านั้น เราเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ แต่ไม่อาจเดินบนเส้นทางแทนคนอื่นได้แน่นอน
ระดับความเครียดจะแปรผันไปตามความรุนแรงของปฏิกิริยาตอบสนอง ยิ่งเราตอบสนองมากแค่ไหนก็จะยิ่งเครียดมากเท่านั้น และถ้าอดีตของเราเต็มไปด้วยความตึงเครียด ก็จะยิ่งทำให้เราตอบสนองต่อความเครียดได้ง่ายขึ้น เราจึงมักมีปฏิกิริยาตอบสนองเกินกว่าเหตุ แม้จะเจอปัญหาเล็กๆน้อยๆก็ตาม
ส่วนหนึ่งของการปล่อยวาง คือ การเข้าใจว่าเราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของอดีตของตัวเราเอง อารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงจึงมักเข้ามามีอำนาจเหนือความคิด คำพูด และการกระทำ สิ่งที่คนอื่นปฏิบัติต่อเราบ่อยครั้งจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรามากนัก แต่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขากำลังรู้สึกอยู่ ณ ตอนนั้นผสมรวมกับความทุกข์จากอารมณ์ในอดีตที่พวกเขาแบกรับเอาไว้ต่างหาก
คนที่ฉลาดที่สุดและมีความสุขที่สุดต่างใส่ใจกับความจริงของการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้วิ่งตามหาความจริงเป็นนิรันดร์ แต่เคลื่อนไปตามจังหวะขึ้นลงของชีวิตอย่างง่ายดาย และเอาใจใส่ช่วงเวลาปัจจุบันมากกว่าคนทั่วไป
ความตระหนักรู้ส่วนใหญ่ของมนุษย์อยู่ที่ระดับทั่วไป เราจึงมักหลงลืมว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก และยังคงเกิดขึ้นต่อไป จิตใจเรายากจะหยั่งรู้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระดับอะตอม เราจึงมักละเลยไปง่ายๆ ส่วนการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆกระทั่งความไม่เที่ยงของชีวิตเราเอง เราก็ยังไม่ค่อยคิดถึงจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญอะไรสักอย่างที่ทำให้เลี่ยงความจริงไม่ได้
เมื่อเราเกิดอารมณ์ทุกข์ยากจึงรู้สึกเหมือนกับว่ามันจะยังคงอยู่แบบถาวรแล้วตอบสนองไปราวกับว่าอารมณ์เดิมจะคงอยู่ไปตลอดกาล โดยลืมไปว่าอีกเดี๋ยวมันจะค่อยๆหายไปและมีอารมณ์อื่นเข้ามาแทนที่
ทุกสิ่งที่เรารักล้วนดำรงอยู่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มีขึ้นลง คนที่เราเฝ้าถนอม ช่วงเวลาแห่งความสุข ความรักที่เราสัมผัส และชัยชนะที่ช่วยให้เรามีชีวิตดีขึ้น เหล่านี้เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลง หากสิ่งเหล่านี้หยุดนิ่งย่อมไม่มีอะไรใหม่ กระทั่งชีวิตเราเองก็เป็นผลผลิตจากความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
หากความทุกข์เกิดจากความไม่รู้ ความสุขก็จะเกิดจากปัญญาและถ้าความทุกข์เพิ่มขึ้น เพราะการไม่ตระหนักรู้ การเพิ่มการตระหนักรู้ในตัวเองก็จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความตึงเครียดทางจิตได้เช่นกัน
เราไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมวงทะเลาะเบาะแว้งหรือมีความเห็นตรงกันไปทุกเรื่อง บางครั้งอาจจำเป็นต้องพูดเพื่อปกป้องตัวเอง แต่การพูดให้น้อยลงอาจทำให้การยืนหยัดของเราหนักแน่นขึ้น และยังช่วยรักษาพลังงานไว้สำหรับช่วงเวลาที่คำพูดของเราจะส่งอิทธิพลมากที่สุดด้วย
อารมณ์ที่คล้ายคลึงกันจะดึงดูดกัน อารมณ์แบบหนึ่งจะดึงดูดอารมณ์แบบเดียวกัน เมื่อเราส่งอารมณ์หนึ่งไปให้อีกคน เรามักจะได้อารมณ์แบบเดียวกันนั้นกลับคืนมา เมื่อเรารู้สึกแย่ แล้วปล่อยให้ความโกรธครอบงำจิตใจและการกระทำ อีกฝ่ายก็จะตอบสนองด้วยความโกรธคืนมาอย่างง่ายดาย เพราะพวกเขารู้สึกว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะทำแบบนั้น
คนที่ฝึกฝนการเยียวยาตัวเองมาอย่างลึกซึ้งและบ่มเพาะวุฒิภาวะมาแล้ว จะไม่ถูกดึงเข้าสู่การทะเลาะเบาะแว้งโดยไม่จำเป็น แม้จะมีคนพยายามขยายความตึงเครียดก็ตาม
หากเราเชื่อว่าความเครียดในจิตใจของเราทุกขณะจิตเป็นความผิดของผู้อื่น ก็ยากที่เราจะรู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริง