รู้ครบเครื่องเรื่องประตูเมืองเชียงใหม่
สงกรานต์ใกล้จะถึงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแน่นอนที่จะต้องคิดถึงคือเมืองเชียงใหม่นั่นเองถึงแม้ช่วงนี้ฝุ่น PM จะหนาแน่นอากาศจะทำลายร่างกายแต่รับรองว่าไม่ทำร้ายจิตใจของคนที่อยากจะเที่ยว..เพราะเสน่ห์แห่งเมืองเชียงใหม่มีอยู่มากมายโดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ และจุดเล่นน้ำสงกรานต์ที่เรียกว่าสนุกสนานที่สุดก็คงไม่แคล้วเป็นแถวประตูเมืองดังนั้นก่อนที่เราจะไปเล่นน้ำเรามารู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับประตูเมืองและตำนานแห่งกำแพงเมืองเชียงใหม่กันดีกว่า
ประตูเมืองเชียงใหม่ มี 5 ประตู ได้แก่
1.ประตูช้างเผือก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือเป็นจุดรวมไพร่พลเพื่อเตรียมสู้รบยามเกิดศึกสงคราม
2. ประตูท่าแพ ด้านซ้าย เปรียบเสมือนประตูแขน ขา เป็นประตูทางผ่านของเจ้าในสมัยนั้น และเป็นจุดค้าขายแลกเปลี่ยนข้าวของ
3.ประตูสวนดอก ด้านขวา ที่ได้ชื่อว่าสวนดอกนั้นก็เพราะชายาของพระยากือนาชื่นชอบในการทำสวนดอกไม้ จึงมีสวนดอกไม้บริเวณนั้นมากมาย
4.ประตูเชียงใหม่ อยู่ทิศใต้ เป็นประตูมงคลของบ้านเมือง
5.ประตูแสนปรุง (สวนปรุง) เป็นประตูที่ใช้เป็นทางผ่านของศพ
กำแพงเมืองเชียงใหม่ หรือ กำแพงเวียงเชียงใหม่ เป็นกำแพงเมืองชั้นในของเวียงเชียงใหม่ สร้างขึ้นพร้อมๆกับการสถาปนาอาณาจักรล้านนา ในรัชสมัยพญามังราย เพื่อเป็นเมืองหลวงของล้านนา โดยขั้นแรกได้ขุดคูเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความยาวด้านละประมาณ 1.63 กิโลเมตร และนำดินที่ได้จากการขุดคูเมืองนั้นขึ้นไปถมเป็นแนวกำแพงเมือง โดยเริ่มขุดที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือคือแจ่งศรีภูมิอันเป็นทิศมงคลก่อน แล้วก่ออิฐขนาบสองข้างกันดินพังทลาย ข้างบนกำแพงปูอิฐตลอดแนวทำเสมาไว้บนกำแพงทั้งสี่ด้านและประตูเมืองอีกทั้งสี่แห่ง
กำแพงด้านทิศเหนือ มีความยาวมากที่สุด วัดได้ประมาณ 1.67 กิโลเมตร
รองลงมาเป็นกำแพงด้านทิศใต้ วัดได้ 1.63 กิโลเมตร
ส่วนกำแพงด้านทิศตะวันออกมีความยาวเท่ากับทิศตะวันตก คือ 1.62 กิโลเมตร
หลังจากที่เชียงใหม่ได้รับอิสรภาพจากพม่า เจ้ากาวิละ ได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าบรมราชาธิบดี เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 1 โปรดให้บูรณะกำแพงเมืองเป็นครั้งใหญ่ เป็นกำแพงอิฐที่มีความมั่นคงทนทาน และบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ. 2361 ในรัชสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 2
ในปี พ.ศ. 2491 เนื่องจากกำแพงเมืองเชียงใหม่มีสภาพทรุดโทรมลงอย่างมาก และบางแห่งก็พังเป็นซากปรักหักพัง ทั้งยังมีวัชพืชขึ้นเป็นการรกอย่างมาก อีกทั้งยังบดบังทัศนียภาพของคนที่อยู่นอกกำแพงเมือง ดังนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ จึงได้เริ่มรื้อกำแพงออก เพื่อสร้างถนนและเส้นทางคมนาคมในตัวเมืองเชียงใหม่
ประตูเมืองเชียงใหม่
เดิมกำแพงเมืองเชียงใหม่นั้นมีสองชั้น เรียกว่ากำแพงชั้นนอก สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 22 และ กำแพงชั้นในซึ่งเป็นกำแพงแต่เดิมสมัยสร้างเวียง
ประตูเมืองชั้นใน
โดยประตูเมืองในปัจจุบันจะเป็นประตูเมืองของกำแพงชั้นในซึ่งมีประตูทั้งหมด 5 ประตู ได้แก่
– ประตูช้างเผือก เดิมมีชื่อว่า ประตูหัวเวียง เป็นประตูชั้นในด้านทิศเหนือ สมัยก่อนเป็นประตูเอกของเมือง ในพระราชพิธีบรมราชาพิเษก กษัตริย์จะเสด็จเข้าเมืองยังประตูนี้ ประตูนี้เปลี่ยนชื่อในรัชสมัยของพระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 1 เนื่องจากได้โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์รูปช้างเผือกขึ้น
– ประตูเชียงใหม่ เดิมมีชื่อว่า ประตูท้ายเวียง เป็นประตูชั้นในด้านทิศใต้
– ประตูท่าแพ เดิมมีชื่อว่า ประตูเชียงเรือก เป็นประตูชั้นในด้านทิศตะวันออก ที่มาของชื่อเนื่องจากประตูด้านนี้เป็นประตูที่จะไปยังท่าน้ำของแม่น้ำปิง ซึ่งมีแพจำนวนมากอยู่
– ประตูสวนดอก เป็นประตูชั้นในด้านทิศตะวันตก ที่มาของชื่อเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นเป็นที่ตั้งของพระราชอุทยานของพญาเม็งราย
– ประตูแสนปุง หรือประตูสวนปรุง เป็นประตูที่เจาะกำแพงชั้นในด้านใต้สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัย พญาสามฝั่งแกน เนื่องจากในรัชสมัยของพระองค์ได้สร้างเจดีย์ราชกุฏคาร (เจดีย์หลวง) ขึ้น ดังนั้น เพื่อความสะดวกแก่พระราชชนนีที่โปรดประทับอยู่ที่ตำหนักสวนแร (ทิพย์เนตร) นอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้จะได้ทรงสะดวกในการเสด็จมาสักการะพระเจดีย์ จึงโปรดให้เจาะกำแพงเมืองด้านนั้น และตั้งชื่อว่า ประตูสวนแร ต่อมาเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่ใช้ประหารนักโทษ ใช้หอกหลาวทิ่มแทงปุง (พุง) ชาวบ้านจึงเรียกว่าประตูสวนปุง หรือ ประตูแสนปุง นับแต่อดีต เชียงใหม่มีประเพณีที่ว่าหากมีการเสียชีวิตภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ จะต้องนำศพออกจากตัวเมืองผ่านทางประตูนี้เท่านั้น ซึ่งก็ยังยึดถือประเพณีนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน
ประตูเมืองชั้นนอก
เป็นประตูของกำแพงเมืองชั้นนอก มีทั้งหมด 7 ประตู เป็นประตูเดิมที่สร้างในพุทธศตวรรษที่ 22 อยู่ 4 ประตู ได้แก่
– ประตูเชียงเรือก (เชียงเลือก) หรือประตูท่าแพ (ชั้นนอก) อยู่ทางทิศตะวันออก
– ประตูหล่ายแกง (ระแกง)
– ประตูขัวก้อม
– ประตูไร่ยา หรือไหยา (ประตูหายยา) เป็นประตูที่สร้างในรัชสมัย พระยาพุทธวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 2 ซึ่งสร้างเพิ่มอีก 3 ประตูได้แก่
ประตูศรีภูมิ, ประตูช้างม่อย, ประตูกะโหล้ง และแจ่งเมืองเชียงใหม่
กำแพงเมืองเชียงใหม่มีแจ่ง (มุม) 4 แจ่ง ซึ่งถือเป็นป้อมปราการของเมืองในอดีต ได้แก่
– แจ่งศรีภูมิ เดิมชื่อ แจ่งสะหลีภูมิ เป็นแจ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนที่พญามังรายสร้างเมืองโปรดให้ขุดคูเมืองและสร้างกำแพงจากจุดนี้ไปยังแจ่งขะต้ำแล้ววกผ่านไปยังแจ่งกู่เฮืองแล้วต่อไปยังแจ่งหัวลินแล้ววกไปสี้นสุดที่แจ่งศรีภูมิ ตอนที่เริ่มขุดมีเรื่องเล่าว่าจุดนี้จะลึกมากๆขนาดเอาบันไดไม้ไผ่ (เกิ๋น) ที่มีช่องเหยียบมากเกินพันขั้น (พันตาเกิน) มาปีนขึ้นลง จึงเป็นที่มาของวัด พันตาเกิน หรือวัดชัยศรีภูมิในปัจจุบัน
– แจ่งก๊ะต้ำ หรือ แจ่งขะต๊ำ คำว่า ขะต๊ำ เป็นเครื่องมือจับปลาของชาวล้านนาโบราณ ที่มีลักษณะคล้าย ๆ ลอบดักปลา ในคูเมืองคงจะมีปลาและสัตว์น้ำชุกชุมในบริเวณนี้ เป็นแจ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
– แจ่งกู่เฮือง เป็นแจ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่มาของชื่อเนื่องจากเป็นที่เก็บอัฐิของ อ้ายเฮือง ที่ได้เป็นผู้คุมของพญาคำฟู ซึ่งได้ถูกนำมาคุมขังที่นี่ภายหลังถูกจับกุม เนื่องจากก่อนหน้าได้ชิงราชสมบัติจากพญาแสนภู ซึ่งพญาไชยสงคราม พระบรมเชษฐาของพญาแสนภูปกครองเชียงรายอยู่รับสั่งให้มาปราบ
– แจ่งหัวลิน เป็นแจ่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือ แจ่งนี้เป็นแจ่งที่รับน้ำที่ไหลมาจากดอยสุเทพน้ำที่ไหลมาจะหล่อเลี้ยงไปทั่วเมือง
เอาล่ะเมื่อเรารู้เรื่องทั้งประตูเมืองและกำแพงเมืองเชียงใหม่แล้วคราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่เพื่อจะไปเล่นน้ำเป็นแบบม่วนอกม่วนใจ๋กันที่จังหวัดเชียงใหม่กันนะเจ้า
อ้างอิงจาก: อนุสรณ์เมืองเชียงใหม่, วิกิพีเดีย